Economic

เปิดแผนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

สร้างมูลค่าเพิ่ม 7 หมื่นล้านบาท

 

ในแต่ละปีประเทศไทยต้องใช้งบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท ในการนำเข้าอาวุธจากต่างประเทศ เพื่อรักษาความพร้อมรบของกองทัพ มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ซึ่งจำนวนนี้เป็นการซื้อภายในประเทศเพียง 2%รวมทั้งในปัจจุบันได้มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศต่างต้องพึ่งพาตนเองในด้านความมั่นคงใกขึ้น เพราะเมื่อถึงเวลาคับขันก็ยากที่จะพึ่งพาประเทศอื่นได้

 

ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2562 รัฐบาลได้ยกอุตสาหกรรมป้องกันประเทศขึ้นเป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ต้องให้การส่งเสริมอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันมีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาขอรับการลงทุนเพียง 10 โครงการ มูลค่าการลงทุน 1,271 ล้านบาท ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องปรับแผนเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าว

 

โดยล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดทำร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อนำเสนอต่อรัฐมาตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐบาล โดยในแผนดังกล่าวมีเป้าหมายให้เกิดการขยายตัวของมูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมความมั่นคงไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี และได้กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่มีศักยภาพ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มอาวุธปืน และกระสุนปืนสำหรับการป้องกันประเทศและกีฬา 2. กลุ่มยานพาหนะรบ และยานพาหนะช่วยรบ 3. กลุ่มอากาศยานไร้คนขับ (UAV) 4. กลุ่มอุตสาหกรรมต่อเรือ โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของทั้ง 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมากกว่า 225,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีการผลิตในประเทศจะมีการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทางตรงมากกว่า 69,000 ล้านบาท

 

สำหรับในกลุ่มอาวุธและกระสุนปืนสำหรับการป้องกันประเทศและกีฬาตลาดภายในประเทศมีขนาดใหญ่มาก จากผลสำรวจสถิติล่าสุดประจำปี 2566 โดย World population review พบว่าคนไทยมีอาวุธปืนในครอบครองมากถึง 10.3 ล้านกระบอก สูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศ โดยคาดว่ามูลค่าตลาดในกลุ่มนี้ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่ากว่าเกือบ 40,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตไทยมีศักยภาพในการผลิต และใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่า 70-80% สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 28,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันไทยมีผู้ผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืน จำนวน 8 บริษัท

 

ส่วน กลุ่มยานพาหนะรบ หรือ กลุ่มยานหุ้มเกราะ ในปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งด้านห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์อยู่ในอันดับ 10 ของโลก และอันดับ 1 ของอาเซียน สามารถนำมาประยุกต์ต่อยอด เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์หุ้มเกราะต่อได้ ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร (ศอทพ.) พบว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีความต้องการยานยนต์หุ้มเกราะประมาณ 700 คัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 51,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทางตรงได้ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่จะไปถึงจุดนั้นได้อุตสาหกรรมยานยนต์หุ้มเกราะจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตยานยนต์หุ้มเกราะไม่น้อยกว่า 5 ราย โดยคาดว่ามาก ตลาดของโดรนขนส่งของโลกในปี 2565 มีมูลค่า 530.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 42.6 ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2573 ซึ่งในขณะนี้ไทยมีผู้ผลิตรถเกราะ 5 ราย ที่สามารถต่อยอดเพิ่มศักยภาพในการผลิตได้

 

ด้าน กลุ่มอากาศยานไร้คนขับ หรือ (UAV) เป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้ในหลายภาคธุรกิจ ตั้งแต่ภาคการเกษตร การสำรวจพื้นที่ การส่งสินค้าไปถึงมือผู้บริโภค รวมถึงในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยตลาดของโดรนขนส่งของโลกในปี 2565 มีมูลค่า 530.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 42.6% ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2573 ซึ่งไทยมีผู้ผลิตโตรนประมาณ 9 ราย

 

สำหรับตลาดโดรนของไทย ศอพท. คาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรม UAV จะมีขนาดตลาดประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันต้องนำเข้าชิ้นส่วนสูงถึง 80% แต่ทั้งนี้หากในอนาคตไทยมีขีดความสามารถในการผลิตที่สูงขึ้นจะสามารถสร้างมูลค่าให้แก่ระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท

 

ขณะที่อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ เช่น การผลิตเรือรบ หรือเรือขนส่ง ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการผลิตและซ่อมบำรุงเรือรบจำนวน 23 ราย  ซึ่งคาดว่าในอีก 20 ปี ข้างหน้าประเทศไทยจะมีความต้องการเรือรบรวมมูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทางตรงได้มากกว่า 17,000 ล้านบาท รวมถึงการผลิตเพื่อทดแทนเรือรบที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 30 ปี ที่มีจำนวนกว่า 17 ลำ มูลค่ากว่า 166,000 ล้านบาท

 

จากสถิติการส่งออกย้อนหลัง ปี 2564 – 2566 ประเทศไทยส่งออกเรือ ปีละ 2 – 4 หมื่นล้านบาท ตลาดที่สำคัญอยู่ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการส่งออกในมูลค่าที่สูง แต่ประเทศไทยยังขาดดุลมากกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีการส่งเสริมอย่างเต็มที่ จะช่วยลดการขาดดุลการค้า สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องได้

 

สำหรับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภาพรวม ระยะสั้น (1-2 ปี) จะช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เกิดคล่องตัว ลดอุปสรรค และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งพัฒนาฐานอุตสาหกรรมไปสู่การเป็น OEM Plus ที่มีขีดความสามารถในการผลิต และเพิ่มความสามารถในการวิจัยและพัฒนา โดยการผลักดัน ติดตามการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วให้มีผลในการปฏิบัติโดยเร็วแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

 

นอกจากนี้ จะต้องกำหนดเงื่อนไขให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ หรือการกำหนดสัดส่วน Local Content เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้ง Start-up หรือ กลุ่ม SME เพื่อนำไปสู่ปลายทาง OEM หรือ ผู้รับจ้างการผลิตที่สมบูรณ์ ทั้งการผลิต คิดค้นนวัตกรรม และสามารถประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในภารกิจอื่น ๆ ตลอดจนการสนับสนุนแหล่งเงินทุน และออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน คล่องตัว เปิดกว้างต่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และสนับสนุนการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เพื่อการยอมรับของตลาด

 

ส่วนในระยะกลาง (2-5 ปี) จะเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมจาก OEM Plus ไปสู่ระดับ ODM หรือผู้รับจ้างผลิตที่สามารถออกแบบและผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีของตนเองได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศยกระดับไปสู่ Tier 2 โดยการเพิ่มบทบาทของหน่วยงานเครือข่าย เช่น สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ให้เป็น One Stop Service ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกด้าน และเป็นหน่วยบูรณาการด้านการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้สามารถต่อยอดงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง

 

รวมทั้งจะต้องจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่มีความคล่องตัวในการดำเนินกิจการ เพื่ออำนวยความสะดวก รักษาความปลอดภัย และเสริมสร้างความมั่นใจในการลงทุนของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ และจัดตั้งศูนย์แนะนำหรือการช่วยเหลือผู้ส่งออก ตลอดจนการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยความร่วมมือของกระทรวง กรม ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน

 

ส่วนในระยะยาว (5-10 ปี) จะมุ่งเน้นให้สามารถยกระดับจาก ODM เป็น OBM หรือผู้ผลิตภายใต้รูปแบบและตราสินค้าของตนเอง ซึ่งจะเป็นการยกระดับสู่ Tier 2 อย่างเต็มตัว และมีความยั่งยืนในระยะยาว โดยจะต้องพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะและคุณภาพ การสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยเพื่อยกระดับจาก R&D ไปสู่ R&I หรือการวิจัยเพื่อคิดค้นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เพื่อรองรับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ จะต้องกำหนดนโยบายบังคับให้บริษัทที่ส่งอาวุธเข้ามาขายกับประเทศไทยจะต้องชดเชยการเสียดุลทางการค้า ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือมีการลงทุนร่วมกับภาครัฐหรือเอกชน รวมถึงความร่วมมือในการวิจัย และเชื่อมโยงแผนพัฒนากองทัพ แผนการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีความเป็นรูปธรรมชัดเจน วิจัยออกมาแล้วได้ใช้งานจริง รวมทั้งสร้างความร่วมมือในการพัฒนากิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างประเทศ เพื่อสร้าความแข็งแกร่ง และลดจุดอ่อนของอุตสาหกรรมนี้

สวทช. เร่งวิจัยสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูง

เพิ่มมูลค่าทะลุ 1 แสนล้าน ภายในปี 2570

 

ประเทศไทยถือได้ว่ามีความร่ำรวยด้านชีวภาพสูงมาก และติดอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรของโลก ดังนั้นไทยจึงมีต้นทุนในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพสูงมาก และยังได้มีการก่อตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอแบงค์ เป็นแห่งแรกของอาเซียน เพื่อเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพไม่ให้สูญหาย และเป็นแหล่งในการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มากมายในอนาคต

 

ทั้งนี้ จากความพร้อมดังกล่าว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้มุ่งเน้นในเทคโนโลยีชีวภาพทุกด้าน โดยเฉพาะพืชสมุนไพร โดยในในภาพรวมของสมุนไพรไทย มีมูลค่าการตลาดในปี 2566 เป็นจำนวนถึง 52,104.3 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตสูง คาดการณ์ว่าในปี 2570 จะมีมูลค่าการตลาดถึง 1 แสนล้านบาท  มีกลุ่มสินค้า เช่น อาหารเสริมพร้อมดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้รักษาอาการไอ หวัด แพ้อากาศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเนื่องจากมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบพืชพรรณสมุนไพร มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ แต่สมุนไพรไทยก็มีอุปสรรค ได้แก่

 

  1. คุณภาพของวัตถุดิบมีความแปรปรวน ความไม่สม่ำเสมอของปริมาณสารสำคัญ และการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กระบวนการผลิตสารสกัดยังให้ปริมาณสารสำคัญน้อย และใช้สารเคมีในการสกัดสูง รวมถึงขาดระบบการผลิตสารสกัดมาตรฐานสำหรับการสกัดในระดับอุตสาหกรรม

 

  1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรยังมีจำนวนน้อย และผลิตภัณฑ์อาศัยเพียงความเชื่อและความรู้สึกตอบสนองของผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่หรือเป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้มาช่วยยืนยันคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย

 

จากปัญหาและอุปสรรคของสมุนไพรดังกล่าว การพัฒนานวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรโดยมีสมุนไพรนำร่อง 3 ชนิดได้แก่ กระชายดำ บัวบก และกะเพรา เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร อุตสาหกรรมสารสกัด และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเอกชนให้สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน ผลักดันให้เกิด “Hub of Thai Herbal Extract” ในการส่งเสริมพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสตลาดสมุนไพรให้กับประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่

 

โครงการที่ 1 นวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกะเพรา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571) ที่จะสร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า ในปี 2571 ซึ่งมีผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สารแต่งกลิ่นรสผงแห้งจากสารสกัดกะเพรา , ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดสภาวะเครียด จากสารสกัดมาตรฐานกะเพรา , กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกะเพรา ระดับอุตสาหกรรม

 

 

โครงการที่ 2 การขยายผลนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571) ที่จะสร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 ซึ่งจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2568

 

โดยมีผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ , ผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำ , ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชะลอวัย ลดไขมัน/และน้ำตาลในเลือด จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ และกระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกระชายดำระดับอุตสาหกรรม

 

โครงการที่ 3 การเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานบัวบกด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม โดยมีเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571) ที่จะสร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมสารสกัดมาตรฐานให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 ซึ่งจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2568

 

โดยมีสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดบัวบก , ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบของสิว (Anti-Acne) จากสารสกัดบัวบก , ผลิตภัณฑ์ยาทาสมานแผลจากสารสกัดบัวบก และกระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานบัวบกระดับอุตสาหกรรม

 

สำหรับ ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567 คือ สารสกัดมาตรฐานของกระชายดำ สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย , ถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลสารสกัดมาตรฐานของกระชายดำสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอาง , ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำ , ผงแต่งกลิ่นจากสารสกัดกะเพรา เสมือนกลิ่นกะเพราสด , ขยายขนาดกระบวนการกักเก็บกลิ่นกะเพรา ที่มีกลิ่นเสมือนกะเพราสดในระดับอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง /เวชสำอางชะลอวัย / เวชสำอางต้านสิว จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบก , ถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง / เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบก ร่วมกับผู้ประกอบการ และอนุภาคกักเก็บสารสกัดกะเพราลดกรด/ลดความเครียด

 

ทั้งนี้ ในการวิจัยและผลิตสารสกัดจากกะเพราสดที่มีกลิ่นไม่ต่างจากกะเพราสด จะเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอด ซอฟต์เพาเวอร์ อาหารไทย ที่มีเมนูจำนวนมากที่ใช้กะเพรา ให้แพร่ขยายได้มากขึ้น เพราะพืชกะเพราไม่สามารถปลูกได้ในเมืองหนาว ทำให้อาหารไทยในยุโรป หรือ อเมริกาเหนือ มีรสชาติและกลิ่นต่างจากอาหารไทยต้นตำหรับ และยังช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบอาหารในต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเป็นแบบอย่างให้เกิดการพัฒนาพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ต่อไป โดยจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพืชสมุนไพรเหล่านี้ได้อีกหลายเท่าตัว และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย

จีน เล็งเช่าพื้นที่“สมาร์ท ปาร์ค” ลงทุนชิ้นส่วน EV – พลังงาน
นักลงทุนจีน ปักหมุดลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม supply chain ชิ้นส่วนยานยนต์ EV และกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ขณะที่การก่อสร้างโครงการคืบหน้ากว่า 82.55% เชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ สร้างเศรษฐกิจชุมชน เพิ่มรายได้ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ชูโปรโมชั่น ยกเว้นค่าเช่าที่ดิน 1 ปี และยกเว้นค่าบริการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก 1 ปีแรก จูงใจนักลงทุน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค มีความก้าวหน้ากว่า 82.55% และมีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนจากหลายประเทศ หลังจากที่ กนอ. มีการโรดโชว์ โดยล่าสุดกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนแสดงความสนใจที่จะเช่าที่ดินแปลงใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค เพื่อประกอบกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
“ผมได้พูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนชาวจีนที่สนใจจะลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 มี.ค.67) และได้มอบหมายให้กองการตลาดของ กนอ. พานักลงทุนกลุ่มนี้ลงพื้นที่ไปดูพื้นที่จริงที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ซึ่งทางนักลงทุนชาวจีนได้ให้ความสนใจอย่างมากในการเช่าพื้นที่แบบเหมาแปลงทั้งหมด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินธุรกิจ (Feasibility Study) ซึ่งจะมีการประชุมหารือร่วมกับ กนอ. ในรายละเอียดต่อไป” นายวีริศ กล่าว
โครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่โครงการ 1,383.71 ไร่ ถือเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ก้าวข้ามการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นฐานเดิม โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อเสริมสร้างความเป็น
เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ทันสมัย ปลอดภัย ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ
ภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ต้องบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 ทั้งนี้ หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และดำเนินโครงการแล้ว จะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถสร้างเศรษฐกิจชุมชน ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อีกด้วย คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนที่วางไว้ในปี 2567
สำหรับมาตรการส่งเสริมการให้เช่าที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป กำหนดระยะเวลามาตรการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2567 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเช่าที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เป็นฐานการผลิตและการลงทุน ประกอบด้วย ยกเว้นค่าเช่าที่ดินเป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ทำสัญญาเช่าที่ดิน และยกเว้นค่าบริการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกใน 1 ปีแรกนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค จะเป็นไปตามที่ กนอ. กำหนด

สอวช. เร่งสร้างธุรกิจนวัตกรรม 1 หมื่นราย

เพิ่มรายได้ให้กับประเทศ 1 ล้านล้านบาท

 

ปัญหาหลักที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมาอย่างยาวนาน ก็คือการพึ่งพาเทคโนโลยี และนวัตกรรมจากต่างชาติมากจนเกินไป และขาดการผลิตเทคโนโลยีของตัวเอง และนำเอานวัตกรรมที่สร้างขึ้นภายในประเทศมาต่อยอดสร้างมูลค่าทางการค้า แต่หลังจากที่ได้ก่อตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ก็เริ่มเดินหน้าผลักดันให้มหาวิทยาลัยทำการวิจัยและสร้างนวัตกรรมภายในประเทศร่วมกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศในทุกด้าน

 

โดย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยว่า สอวช. มีเป้าหมายนำเอาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. มาขับเคลื่อนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานไว้ 5 ทิศทาง คือ ทิศทางที่ 1 ยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยมีเป้าหมาย 2 ประการคือ เป้าหมายที่ 1 ทำให้คนไทยมีรายได้สูงขึ้น เฉลี่ย 400,000 บาท/คน/ปี

 

เป้าหมายที่ 2 การกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ซึ่งวิธีการขับเคลื่อนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายจะต้องเน้นการพัฒนานวัตกรรม คือการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม หรือ Innovation Driven Enterprise (IDE) โดยเน้นการพัฒนามาตรการและกลไกส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจนวัตกรรม สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดผ่านกลไกสำคัญ เช่น การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาค การส่งเสริมศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และส่งเสริมการจัดตั้ง Holding Company ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมและ Deep-tech Startups รวมถึงการปลดล็อกให้หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะองค์การมหาชนในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้สามารถร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมได้จริง

 

หนุนมหาวิทยาลัย สร้างธุรกิจนวัตกรรม 1 พันราย เพิ่มรายได้ 1 ล้านล้านบาท

 

ทั้งนี้ กลุ่มที่เน้นและให้ความสำคัญมาก คือ กลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จะเป็นอนาคตของประเทศ โดยในกลุ่มนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการให้ได้ 1,000 ราย โดยมีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่รายละ 1,000 ล้าน ก็จะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ 1 ล้านล้านบาท ได้ภายในปี 2570

 

สำหรับแนวทางการสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมให้เติบโตแบบก้าวกระโดด จะส่งเสริมให้จัดตั้ง Holding Company ในมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย โดยมีสถานะเป็นนิติบุคคลให้สามารถร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมได้ ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งบริษัท ชื่อว่า บริษัท ซี ยู เอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด (CU Enterprise) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง Deep-Tech Startup ต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่ในคณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่สังคม

 

โดยดำเนินงานร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) ในการให้คำแนะนำบ่มเพาะผู้ประกอบการ ระดมทุน รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทสปินออฟ (University Spin-offs) ที่ดำเนินงานโดยคณาจารย์และนักวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันมีบริษัทสตาร์ทอัพ 354 ทีม และมีบริษัทสปินออฟเกิดขึ้นแล้ว จำนวน 100 บริษัท สร้างมูลค่าทางการตลาด กว่า 22,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการรวมตัวกันของนักวิจัยก่อตั้งชมรม Club Chula Spin-off มีสมาชิกกว่า 200 คน ที่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือนักวิจัยรุ่นใหม่ที่จะเริ่มประกอบการธุรกิจต่อไป

 

ส่วน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้ง Angkaew Holding Company และบริษัทในเครือ เช่น Angkaew Start up มหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดตัวบริษัท ทีเอสยู เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งบริษัทร่วมทุนสตางค์ จำกัด (STANG Holding Company) เพื่อร่วมทุนในผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้จัดตั้ง บริษัท เคยูนิเวิร์ส จำกัด เป็นต้น โดยแนวทางนี้จะขยายตัวไปในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ทั่วประเทศต่อไป ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ที่ใช้นวัตกรรมกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยนำจุดเด่นในพื้นที่มาสร้างเป็นนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าต่อไปในอนาคต

 

Reskill/Upskill แรงงาน ยกระดับไปสู่งานรายได้สูง

 

ทิศทางที่ 2 การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย สอวช. จะเน้นการออกแบบกลไกสนับสนุนการยกสถานะทางสังคมของคนหรือครัวเรือน ในประชากรฐานราก 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเยาวชน ให้มีหลักประกันโอกาสทางการศึกษาและเข้าสู่เส้นทางอาชีพ โดยการพัฒนา Inclusive Higher Education Platform เพื่อให้มีโอกาสใช้ประโยชน์ หรือเข้าถึงการอุดมศึกษาที่เหมาะสม อีกกลุ่ม คือ คนวัยทำงาน ให้สามารถเข้าถึงตำแหน่งงานทักษะกลาง-สูง โดยเน้นยกระดับศักยภาพแรงงานเชื่อมโยงสู่การจ้างงาน โดยใช้กลไกการพัฒนากำลังคน Reskill/Upskill Account เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรค่าตอบแทนสูงหรือ Premium Workers

 

รวมทั้งกระตุ้นการจ้างงานแรงงานกลุ่มฐานรากผ่านการอุดหนุนค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายในการอบรม ร่วมกับภาคเอกชน และกลุ่มสุดท้ายคือ ผู้ประกอบการชุมชน โดยส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการชุมชน สร้างเครือข่ายที่มีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนศึกษาแนวทางการขยายพื้นที่ดำเนินงานในระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด และมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

 

นำ “เทคโนโลยี – นวัตกรรม” เพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชนแบบก้าวกระโดด

 

ในส่วนของเศรษฐกิจฐานราก มีหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่จะทำให้คนในจังหวัดที่อยู่ในระดับยากจนสามารถยกระดับขึ้นด้วยตัวของเขาเอง โดยใช้มหาวิทยาลัยในพื้นที่มาเป็นพี่เลี้ยง นำเอางานด้านความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เข้าไปหนุนในการพัฒนาอาชีพ ซึ่งเมื่อเรานำนวัตกรรมใส่ลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณภาพสินค้าจะเกิดการพัฒนาขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เสื่อกระจูด จากเดิมราคาเสื่อผืนละ 100-150 บาท พอเอานักออกแบบลงไปช่วยพัฒนาให้เป็นกระเป๋าส่งไปขายในห้างสรรพสินค้า ขายในตลาดวัฒนธรรม ราคาเพิ่มขึ้นถึง 3,000-5,000 บาทต่อใบ เป็นต้น

 

การนำเอาวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำเป็นตลาดวัฒนธรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นเข้ามา ประชาชนที่ผลิตสินค้าพื้นเมืองก็สามารถขายได้ มีเงินหมุนเวียนและกระจายรายได้สู่ชุมชน อย่างตลาดวัฒนธรรมที่ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดตลาดครั้งหนึ่งมีเงินหมุนเวียนประมาณ 500,000-600,000 บาท ถึงตอนนี้จัดกันมาเกือบสองร้อยครั้ง เพราะฉะนั้นเงินหมุนเวียนในพื้นที่ก็อยู่หลักร้อยล้านบาทแล้ว ซึ่งตลาดวัฒนธรรมในลักษณะนี้ ที่ผ่านมา บพท.ได้ดำเนินการให้เกิดขึ้นไปแล้วประมาณ 50- 60 จังหวัด

 

ตั้ง “สระบุรีโมเดล” หวังลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

 

สำหรับ ทิศทางที่ 3 ได้ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทียบเท่า โดย สอวช. ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการให้ปรับตัวตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและสอดคล้องกับมาตรการของนานาชาติ โดยตั้งเป้าหมายการทำงาน “50% ของบริษัทส่งออกบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และมีแผนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” โดยมีแนวทางการขับเคลื่อน ผ่านการสร้างเมืองต้นแบบที่ จ.สระบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

 

โดยได้ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม คือ สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย ส่วนราชการองค์กรปกครองท้องถิ่นและภาคประชาชน จะสร้างระบบเมืองน่าอยู่เชิงนิเวศน์ พัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว การเกษตรที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการทำงานของวิสาหกิจชุมชน ถ้าทำที่จังหวัดสระบุรีได้ ต่อไปก็สามารถขยายผลไปพื้นที่อื่น ๆ ได้เช่น อ.แม่เมาะ และพื้นที่ EEC เช่น จ.ระยอง เป็นต้น อีกแนวทางหนึ่ง คือ การพัฒนาให้เกิดมหาวิทยาลัยสีเขียว พัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัยในบทบาทผู้ให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาคส่วนต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือของมหาวิทยาลัยในการลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย และขยายการให้บริการออกไปสู่สังคมด้วย

 

“ในมุมของ สอวช. เราทำ 2 อย่าง อย่างที่หนึ่ง คือ เราลงไปดูเป็นรายพื้นที่ ที่เราเรียก Area-Based ปัจจุบันเราเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการซีเมนต์ไทยที่ จ.สระบุรี เราก็เอาสิ่งที่เป็น อววน. เข้าไปหนุนเขา ส่งทีมงานเข้าไปช่วยทำเรื่องแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยี เข้าไปดูเรื่อง Energy Transition ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานที่จะใช้ รวมถึงดูเรื่องของกระบวนการภายในภาคอุตสาหกรรมว่าถ้าจะปรับระบบการผลิตต่าง ๆ จะสามารถผลิตด้วยเทคโนโลยีที่สะอาดขึ้นได้อย่างไร และมีหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยในการสร้างนวัตกรรมเข้าไปร่วมด้วย ตอนนี้เริ่มที่ จ.สระบุรี ซึ่งเวลาที่เราทำตามรายจังหวัดแบบนี้ เราไม่ได้ดูเฉพาะอุตสาหกรรมแต่ดูเรื่องของภาคชุมชนและภาคเกษตรควบคู่ไปด้วย อย่างภาคเกษตรเรามีหน่วยงานที่เรียกว่า บพท. เข้าไปสนับสนุนเกษตรกรในการเพาะปลูกพืชด้วยระบบใหม่ ๆ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ก็ไปช่วยเรื่องการนำเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาช่วยเรื่องการจัดการขยะแบบครบวงจร มีการดึงประชาชนในพื้นที่มาทำงานร่วมกัน ทำแบบมีส่วนร่วม และสร้างความตระหนัก ทำให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาน้อย เมื่อเรามีจังหวัดต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ อนาคตการขยายโมเดล “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก” ดร.กิติพงค์ กล่าว

 

เพิ่มแรงงานทักษะสูง 25% ในปี 2570

 

ทิศทางที่ 4 สัดส่วนแรงงานทักษะสูง เพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2570 โดย สอวช. ได้ออกแบบระบบสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์ม Upskill/Reskill/New Skill (URN) : STEM One Stop Service (STEM-OSS) ระบบการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศไทย (E-Workforce Ecosystem (EWE) Platform) ที่เป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญด้านกำลังคนสมรรถนะสูง เพื่อต่อยอดและนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนากำลังคนของประเทศ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานและอุตสาหกรรมในอนาคต

ไทยครองตลาดรถอีวีอาเซียน 80%

คาดยอดซื้อปี 67 ทะลุ 1.3 แสนคัน

 

หลังจากที่รัฐบาลได้ออกนโยบายสนับสนุนการลงทุน และการอุดหนุนตลาดรถยนต์อีวีภายในประเทศ ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีของไทย ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2563 มียอดจดทะเบียน 1,056 คัน ปี 2564 มีจำนวน 1,935 คัน ขยายตัว 83.24% ปี 2565 มีจำนวน 9,729 คัน ขยายตัว 402.79% และในปี 2566 มีจำนวนสูงถึง 76,314 คัน ขยายตัว 684% คิดเป็นสัดส่วน 12.02% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งในปี 2567 คาดว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์อีวี ไม่ต่ำกว่า 130,000 คัน หรือมีสัดส่วน 15% ของตลาดรถยนต์โดยรวม

 

สำหรับในภาพรวมการใช้รถยนต์อีวีของอาเซียน ได้เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2565 จากการวิจัยล่าสุดจากSEA Passenger Electric Vehicle Model Sales Trackerของ Counterpoint ส่วนแบ่งของ BEV มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 สูงถึง 3.8% เมื่อเทียบกับเพียง 0.3% ในปี 2565 โดยประเทศไทยกลายเป็นประเทศชั้นนำมียอดขาย BEV กินสัดส่วนกว่า 78.7% ของยอดรวมในอาเซียนทั้งหมด ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 8% เวียดนาม 6.8% สิงคโปร์ 4.1% มาเลเซีย 2.4% และฟิลิปปินส์ 0.04%

 

ในส่วนของการลงทุนตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยตัวเลขการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์อีวีในประเทศไทย ล่าสุดในปี 2566 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น

 

รถยนต์อีวี 18 โครงการ 40,004 ล้านบาท

รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ 848 ล้านบาท

รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ 2,200 ล้านบาท

แบตเตอรี่สำหรับรถอีวีและระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) 39 โครงการ 23,904 ล้านบาท

ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ 6,031 ล้านบาท

สถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ 4,205 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ จากมาตรการดึงดูดการลงทุนที่ดี และการที่ไทยมียอดขายรถยนต์อีวีที่สูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนเป็นอย่างมาก ส่งผลบวกให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ EV ทั้งในรายที่เข้ามาลงทุนแล้ว กำลังเตรียมตัวเข้ามาลงทุนในปี 2567มากกว่า 30 บริษัท แต่ทั้งนี้ต้องจับตาประเทศอินโดนีเซียเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจุดแข็งในเรื่องของขนาดตลาด และแหล่งแร่นิกเกิน รวมทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียก็ได้เร่งปรับปรุงนโยบายดึงดูดการลงทุนจนเป็นคู่แข่งในด้านการเป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากไทยปรับตัวได้เร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ก็จะทำให้ไทยยังคงเป็นผู้นำในด้านการผลิตรถยนต์ และรถยนต์อีวี ต่อไปได้ในอนาคต

ตลาดรถยนต์อีวีไทยพุ่ง โต 238%

 

ที่ผ่านมาตลาดยานยนต์ของไทยได้เปิดรับรถยนต์อีวี เป็นจำนวนมาก จนมียอดการใช้รถยนต์อีวี สูงที่สุดในอาเซียนแบบที่ประเทศอื่น ๆ ยังตามห่างจากประเทศไทยอยู่มาก และจากปัจจัยนี้ ทำให้เป็นแรงดึงดูดสำคัญในการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในไทยเป็นจำนวนมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

 

โดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภทรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV ในเดือนมกราคม 2567 ว่า ในเดือนมกราคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 15,943 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 238.71

 

โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 13,574 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2566 ร้อยละ 360.92 รถยนต์นั่งจำนวน 13,322 คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 242 คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 1 คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 9 คัน รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 86 คัน รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 2 คัน และรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลจำนวน 2 คัน

 

ส่วน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 2,253 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2566 ร้อยละ 46.01 แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2,251 คัน รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 2 คัน รถโดยสารมีทั้งสิ้น 21 คัน รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 7 คัน

 

สำหรับ ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมกราคม 2567 ยอดจดทะเบียนใหม่มีจำนวน 14,143 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคมปีที่แล้วร้อยละ 83.99 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 14,119 คัน รถยนต์นั่งจำนวน 14,097 คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 1 คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 6 คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 15 คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 24 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2566 ร้อยละ 29.41 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 24 คัน

 

ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมกราคม 2567 มียอดจดทะเบียนใหม่มีจำนวน 940 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคมปีที่แล้วร้อยละ 2.19 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 940 คัน รถยนต์นั่งจำนวน 940 คัน

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 มกราคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 147,743 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 301.75

BOI ออกมาตรการใหม่

หนุนใช้รถบัส – รถบรรทุกอีวี

 

บอร์ดอีวีเคาะ 2 มาตรการสำคัญ สนับสนุนการใช้อีวีเชิงพาณิชย์ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) พร้อมออกแพ็กเกจสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน เสริมแกร่งอุตสาหกรรมอีวีไทย เดินหน้าสู่ศูนย์กลางอีวีอาเซียน

 

โดย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดอีวี ได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงช่วยสร้างฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในประเทศ มาตรการดังกล่าวจะอนุญาตให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน โดยไม่กำหนดเพดานราคาขั้นสูง

 

ทั้งนี้ ในกรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า และในกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า โดยมาตรการนี้จะมีผลใช้บังคับจนถึงสิ้นปี 2568 และที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากร พิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

 

“การที่บอร์ดอีวีได้ออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 ที่เน้นกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ และรถกระบะเป็นหลัก คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน ช่วยลดการปล่อยมลภาวะในภาคการขนส่ง และตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางอีวีของภูมิภาคในรถยนต์ทุกประเภท”

 

นอกจากนี้ บอร์ดอีวี ยังได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ซึ่งเป็นการผลิตต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยผู้ลงทุนจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์และเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศฯ ภายใต้บีโอไอ

 

โดยมีเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับผู้ลงทุน ดังนี้ (1) ต้องเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำที่มีการใช้งานโดยผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (2) ต้องมีแผนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ด้วยได้ (3) ต้องผลิตเซลล์แบตเตอรี่ที่มีค่าพลังงานจำเพาะ ไม่น้อยกว่า 150 Wh/Kg และ (4) ต้องมีจำนวนรอบการอัดประจุ (Life Cycle) ไม่น้อยกว่า 1,000 รอบ โดยกำหนดเวลายื่นข้อเสนอโครงการลงทุนภายในปี 2570 ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศฯ จะพิจารณากำหนดรายละเอียดของหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติต่อไป

 

“แบตเตอรี่ ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอีวี ปัจจุบันมีผู้ผลิตแบตเตอรี่ในระดับโมดูลและแพ็คในประเทศหลายราย แต่เรายังขาดต้นน้ำที่สำคัญ คือ การผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและใช้เงินลงทุนสูง การออกมาตรการส่งเสริมในครั้งนี้ เพื่อดึงบริษัทชั้นนำของโลกเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย ซึ่งไม่เพียงจะช่วยเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอีวีไทย แต่ยังช่วยต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางโลกที่มุ่งให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจ”

 

นอกจากนี้ บอร์ดอีวี ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เช่น ขยายขอบเขตของรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และเพิ่มคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า กรณีที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 3 kWh แต่มีระยะทางวิ่งมากกว่า 75 กิโลเมตรต่อรอบการชาร์จ รวมทั้งมีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากขึ้น

 

ที่ผ่านมา มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐสามารถกระตุ้นตลาดอีวีในประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีที่สูงถึงกว่า 76,000 คันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อน นำมาสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมอีวีแบบครบวงจร โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 บีโอไอได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท

 

แบ่งเป็น รถยนต์อีวี 18 โครงการ 40,004 ล้านบาท รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ 848 ล้านบาท รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ 2,200 ล้านบาท แบตเตอรี่สำหรับรถอีวีและ ESS 39 โครงการ 23,904 ล้านบาท ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ 6,031 ล้านบาท และสถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ 4,205 ล้านบาท

นายกฯปั้นไทย เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมดึง Deep Tech ลงทุน

 

ในงานแถลงวิสัยทัศน์ Thailand Vision ที่ทำเนียบรัฐบาล ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 

สู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยวการรักษาพยาบาลและสุขภาพอาหาร การบิน การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต เทคโนโลยี และการเงิน

โดยการแถลงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบาย ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงดีอีโดยตรง คือ การนำคลาวด์มาให้บริการประชาชน การมุ่งสู่รัฐบาลดิจิทัล การเสริมสร้างทักษะดิจิทัล การสร้างคนและส่งเสริมโอกาสให้เติบโตได้ในประเทศของตนเอง การดึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี และได้ยกวิสัยทัศน์ การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) ซึ่งดีอีพร้อมดำเนินการในการเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ที่เน้นการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ของประเทศด้านดิจิทัล

 

ทั้งนี้ ในวงการ Tech industry ประเทศไทยมีบุคลากร สถานศึกษา และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่แห่งการ Research and Development ที่ช่วยเสริมแรงให้กับการวิจัยและพัฒนาร่วมกับบริษัทต่างๆโดยการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้นักศึกษาไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลลากรด้วย

 

รัฐบาลตั้งเป้าดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยี High Tech ต่างๆ ทั้งการลงทุนโรงงานผลิต Semiconductor, การตั้งศูนย์ Data Center รองรับ Cloud Computing, การวิจัยและนำ AI มาใช้งานในประเทศไทย และเกิดการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อยกระดับความสามารถของคนไทยให้เป็นแรงงานทักษะสูงโดยใช้ความร่วมมือจากบริษัทเอกชนแถวหน้าของโลก รวมถึงดึงบริษัท Deep Tech ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วยเช่นกันผ่านโมเดล Sandbox ซึ่งรัฐบาลจะมีเงินสนับสนุนบริษัทที่ต้องการผ่านกองทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

 

รวมทั้งจะทำ Matching Fund เติมทุนให้กับบริษัทที่มีศักยภาพด้วย ขณะเดียวกันก็เตรียมปรับกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการตั้งบริษัท การทำงาน การรับ – จ่ายเงินเดือน การถือครองทรัพย์สินต่างๆ เพื่อดึงคนที่มีความสามารถเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทสามารถประกอบธุรกิจข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้จุดแข็งทางด้านการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งจะทำให้คนรุ่นใหม่ที่อยากจะร่วมงานกับบริษัทชั้นนำในระดับโลก ไม่ต้องย้ายไปอยู่ในต่างประเทศ และจะเป็นโอกาสให้คนไทยที่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ Start Up สามารถสร้าง Unicorn ของตนเองต่อไป

บีโอไอ ดึงอุตฯไฮเทคลงทุน หนุนไทยสู่ 5 HUB เศรษฐกิจอาเซียน

 

การดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง จะเป็นบันไดสำคัญในการยกระดับให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูงในอนาคต โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญนี้ ซึ่งได้อนุมัติยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (2566 – 2570) หวังยกระดับไทยไปสู่ HUB 5 ด้าน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยได้ปักธง 7 หมุดหมายแห่งอนาคต เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว

 

โดย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้ให้ความเห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของคณะกรรมการไปพิจารณา และให้นำยุทธศาสตร์ฉบับใหม่นี้ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาต่อไป

 

สำหรับสาระสำคัญของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “เศรษฐกิจใหม่” ที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ในระยะยาว โดยบีโอไอวางเป้าหมายให้บรรลุผล 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ (1) Innovative เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ (2) Competitive เป็นเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถปรับตัวเร็ว และสร้างการเติบโตสูง(3) Inclusive เป็นเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งการสร้างโอกาส และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ

 

ทั้งนี้ จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกระแสความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่ การปรับห่วงโซ่อุปทานและการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ ได้ก่อให้เกิดโอกาสด้านการลงทุนในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค (Regional Hub) อย่างน้อยใน 5 ด้าน ได้แก่

 

– Tech Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เป็นต้น

 

– BCG Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น

 

– Talent Hub เป็นศูนย์รวมผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เช่น ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทักษะสูง ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย กลุ่มสตาร์ตอัป ไปจนถึงนักลงทุนและผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง เป็นต้น

 

– Logistics & Business Hub เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ธุรกิจบริการ ธุรกิจด้านการเงินและการค้าระหว่างประเทศ

 

– Creative Hub เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ เกมและอีสปอร์ต โดยใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรมของไทย ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่เวทีโลก

 

สำหรับ 7 หมุดหมายสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ และยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ประกอบด้วย

1) การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความโดดเด่น ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยมีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain

2) เร่งเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่ Smart & Sustainability

3) ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค

4) ส่งเสริม SMEs และ Startup ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อกับโลก

5) ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่ เพื่อสร้างการเติบโต อย่างทั่วถึง

6) ส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม

และ 7) ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ

 

โดยบีไอไอจะใช้เครื่องมือสำคัญ 3 ด้าน เพื่อขับเคลื่อน 7 หมุดหมายให้บรรลุผลสำเร็จ คือ สิทธิประโยชน์ทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี การบริการแบบครบวงจรทั้งก่อนและหลังการลงทุน การสร้างระบบนิเวศและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน

 

นอกจากนี้ บีโอไอจะปรับเปลี่ยนบทบาทจากเดิมเป็นผู้ส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์ (Promoter) มาสู่การให้น้ำหนักกับการเป็นผู้บูรณาการเครื่องมือสนับสนุนการลงทุน (Integrator) ผู้ให้บริการและอำนวยความสะดวก (Facilitator) และผู้เชื่อมโยงอุตสาหกรรมเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ (Connector) มากขึ้น

 

“ในโลกยุคใหม่ที่มีความท้าทาย ความผันผวน และมีการแข่งขันสูง บีโอไอจะเป็นองค์กรที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศ โดยพร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการผลักดัน 7 หมุดหมายแห่งอนาคตให้เกิดผล เป็นรูปธรรม เพื่อนำประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และแข่งขันได้บนเวทีโลก”