Economic

รัฐบาล หนุน เศรษฐกิจอวกาศ

เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต 15 ลล.บาท

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA  ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ เพิ่มโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุ ชิ้นส่วนด้านอากาศยาน และอวกาศ เพื่อเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาลที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และยังเป็น S-Curve ใหม่ ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต  รวมทั้งเศรษฐกิจอวกาศยังเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีอวกาศ จึงช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก และก้าวนำประเทศคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน

ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ามาสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจอวกาศให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยจะพัฒนาเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ในหลากหลายมิติ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาเติมเต็มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ด้วยการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ กับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ

โดยใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในมิติต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตโดยการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลก

นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุและชิ้นส่วนด้านอากาศยานและอวกาศ สนับสนุนการเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ

ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการร่วมกันแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ อุปกรณ์ กลไกต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า GISTDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้นำมาประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ GISTDA จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันการใช้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน GISTDA ได้ตระหนักถึงความสำคัญและแนวโน้มของเศรษฐกิจอวกาศใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขพบว่าทั่วโลกมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8.1 มูลค่าสูงราว 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14.9 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากการศึกษาวิเคราะห์ของ GISTDA พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี จึงสะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยได้อีกมากในอนาคต

ดังนั้น GISTDA จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ บุคลากร ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่จะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอวกาศสู่ภาคเอกชน ตลอดจนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างสรรค์ธุรกิจอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศต่อไป

ฮุนได เลือกไทยตั้งฐานผลิต EV

จับมือธนบุรีฯเดินเครื่องผลิตปี 69

 

“ฮุนได” เชื่อมั่นนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย หนุนประเทศไทยฐานผลิต EV ระดับโลก ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท จับมือ “ธนบุรีประกอบรถยนต์” เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และแบตเตอรี่ครบวงจร พร้อมเดินเครื่องผลิตต้นปี 2569

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการของบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งจากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) และผลิตแบตเตอรี่ โดยเริ่มจากขั้นตอนการประกอบโมดูล เพื่อป้อนให้กับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท

 

โดยมีบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นพันธมิตรสำคัญในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งบริษัทพร้อมจะเริ่มลงทุนทันที และตั้งเป้าจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศไทย ซึ่งบีโอไอจะทำงานร่วมกับบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อเชื่อมโยง Supply Chain ในประเทศให้ได้มากที่สุด

 

ทั้งนี้ เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก และค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่างฮุนได ก็ถือเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล การลงทุนสร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV ของค่ายเกาหลีในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยและนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย

 

นอกจากนี้ ยังแสดงถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนของฮุนไดในครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยเพื่อมุ่งสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก และจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการเข้าสู่ Supply Chain ของอุตสาหกรรมระดับโลกด้วย

 

ในส่วนของแนวโน้มตลาด EV ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูล Global EV Outlook 2024 โดย IEA พบว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก มีอัตราเติบโตร้อยละ 25 และคาดว่าสิ้นปี 2567 จะมียอดขายรถยนต์ EV รวมกันกว่า 17 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก โดยปัจจุบันบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตยานยนต์ BEV ประเภทต่าง ๆ แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท

บีโอไอ เปิดตัว Matching Fund

หนุน Startup ผลิตนวัตกรรมสู่ตลาดโลก

 

บีโอไอ ออกมาตรการสนับสนุน Startup ไทย รับกระแสการลงทุนยุคใหม่ พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เปิดตัว Matching Fund ภายใต้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ลงเงินร่วมกับกองทุนของเอกชน (Venture Capital) โดยบีโอไอจะสนับสนุน Startup ศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รายละไม่เกิน 50 ล้านบาท ติดปีก Startup ไทย ให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (บอร์ดกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่มีศักยภาพสูง” เพื่อส่งเสริม Startup ไทยที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอยู่ในระยะการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ตั้งแต่ระดับ Pre Series A ถึง Series A

 

โดยบีโอไอจะให้เงินสนับสนุนแก่ Startup รายละ 20 – 50 ล้านบาท ในลักษณะการร่วมลงทุน (Matching Fund) ร่วมกับกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) ของเอกชน เพื่อสนับสนุน Startup ที่มีศักยภาพของไทยให้สามารถต่อยอดสร้างนวัตกรรม เพื่อขยายธุรกิจในตลาดโลกและเติบโตไปสู่ระดับยูนิคอร์นได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มุ่งสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริม จะต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และกลุ่มผู้ก่อตั้ง (Founder) ต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 โดยต้องดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ เกษตร อาหาร การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ หุ่นยนต์ เป็นต้น และต้องเสนอแผนธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการออกสู่เวทีระดับโลก เช่น แผนระดมทุนรอบถัดไปในต่างประเทศ แผนส่งออกผลิตภัณฑ์และบริการไปจำหน่ายในต่างประเทศ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ มีเงื่อนไขว่าบริษัทต้องได้รับเงินทุนจากกองทุน Venture Capital (VC) มาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท และต้องมีกองทุน VC ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (Listed VC) แสดงเจตจำนงจะลงทุนเพิ่มเติม โดยบีโอไอจะพิจารณาให้เงินสนับสนุนรายละ 20 – 50 ล้านบาท แต่ต้องไม่เกินมูลค่าเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก Listed VC ซึ่งบีโอไอจะจ่ายเงินสนับสนุนร้อยละ 50 เมื่อบริษัทได้รับเงินสนับสนุนจาก Listed VC ตามจำนวนที่กำหนดเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกร้อยละ 50 จะจ่ายเมื่อบริษัทดำเนินการตามตัวชี้วัดที่กำหนดสำหรับแต่ละรายแล้วเสร็จ นอกจากเงินสนับสนุนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้ามาทำงานในบริษัทจะได้รับการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และบริษัทยังคงสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรได้ตามมาตรการปกติของบีโอไออีกด้วย

 

ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อน “มาตรการส่งเสริม Startup ที่มีศักยภาพสูง” ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองโครงการ ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบีโอไอและหน่วยงานที่มีประสบการณ์ในการส่งเสริม Startup เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นต้น

 

“แหล่งเงินทุนและบุคลากร เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของ Startup บีโอไอจึงได้ออกมาตรการสนับสนุนทั้งสองด้านนี้ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับกองทุน Venture Capital ระดับมืออาชีพ ในการร่วมกันส่งเสริม Startup ไทยที่มีศักยภาพ ให้มีเงินทุนเพียงพอในการต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ให้ขยายออกไปสู่ตลาดโลก และเพิ่มโอกาสที่จะเติบโตไปสู่ระดับยูนิคอร์นต่อไป อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งภูมิภาคด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ประสิทธิภาพเศรษฐกิจไทย

พุ่งสู่อันดับ 5 ของโลก

 

การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center โดยในภาพรวมประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปรับดีขึ้น 5 อันดับจากอันดับที่ 30 ในปีที่แล้ว และอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ที่อยู่ในอันดับ 1 ของโลก ซึ่งดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ไทยอยู่ในอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย

 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยใช้ในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในปี 2567 มีรายละเอียดที่สำคัญในแต่ละด้าน ดังนี้

 

  1. ด้านประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Performance)

ภาพรวมไทยมีอันดับดีขึ้นจากปี 2566 ถึง 11 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 5 ของโลกในปี 2567 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 23 อันดับ จากอันดับ 29 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 6 ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศ อันดับดีขึ้นจากปีก่อน 5 อันดับ จากอันดับที่ 44 ในปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 39

 

  1. ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency)

ภาพรวมอันดับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับจากปีที่แล้ว โดยปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้น คือการคลังภาครัฐ  ปรับอันดับดีขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว 3 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 22 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับคงที่ 2 ปัจจัย ย่อยคือ นโยบายภาษี อันดับ 8 และกรอบการบริหารสังคม อันดับ 47 และปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 2 ปัจจัยย่อยคือ กรอบการบริหารภาครัฐ ลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 34 มาอยู่ที่อันดับ 39 และกฎหมายธุรกิจ ลดลง 8 อันดับ จากอันดับ 31 มาอยู่ที่อันดับ 39

 

  1. ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency)

ภาพรวมปรับอันดับดีขึ้นจากปี 2566 เล็กน้อย 3 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 20 ในปี 2567 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ (ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ จากอันดับ 22 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 15 และทัศนคติและค่านิยม ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 1 อันดับ จากอันดับ 19 มาอยู่ที่อันดับ 18

 

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

ภาพรวมอันดับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับจากปีที่แล้ว โดยไม่มีปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นจากปีที่แล้ว ในขณะที่ มีปัจจัยย่อยที่มีอันดับคงที่ 2 ปัจจัยย่อยคือ โครงสร้างด้านเทคโนโลยี อันดับ 25 และการศึกษา อันดับ 54 และปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 3 ปัจจัยย่อยคือ สาธารณูปโภคพื้นฐาน ลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 22 มาอยู่ที่อันดับ 23 โครงสร้างด้านวิทยาศาสตร์  ลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 39 มาอยู่ที่อันดับ 40 และสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ลดลง 2 อันดับ จากอันดับ 53 มาอยู่ที่อันดับ 55

 

อย่างไรก็ตามจากเขตเศรษฐกิจในสมาชิกประชาคมอาเซียนรวม 10 เขตเศรษฐกิจ มีเพียง 5 เขตเศรษฐกิจ คือไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการจัดอันดับโดย IMD ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงสุดของอาเซียนในปี 2567 อันดับ 1 ยังคงเป็นสิงคโปร์ และยังเป็นอันดับ 1 ของโลก รองลงมาเป็นไทย อันดับ 2 ของอาเซียน และอันดับ 25 ของโลก อินโดนีเซีย อันดับ 3 ของอาเซียนและอันดับ 27 ของโลก มาเลเซีย อันดับ 4 ของอาเซียน และอันดับ 34 ของโลก และฟิลิปปินส์ อันดับ 5 ของอาเซียน และอันดับ 52 ของโลก

 

ส่วนผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2567 ภาพรวมทั่วโลก มีดังนี้

อันดับ 1 สิงคโปร์ ขยับขึ้นมา 3 อันดับ จากปีที่แล้ว

อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์ ขยับขึ้นมาเล็กน้อย 1 อันดับจากปีที่แล้ว

อันดับ 3 เดนมาร์ก ร่วงลงเล็กน้อย 2 อันดับ จากปีที่แล้ว

อันดับ 4 ไอร์แลนด์ ซึ่งลดลงจากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว

อันดับ 5 ฮ่องกง ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2566

อันดับ 6 สวีเดน ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2566

อันดับ 7 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดีขึ้น 3 อันดับจากปีก่อน

อันดับ 8ไต้หวัน ที่อันดับลดลง 2 อันดับ

อันดับ 9 เนเธอร์แลนด์ ลดลง 4 อันดับจากปีที่แล้ว

อันดับ 10 นอร์เวย์ ที่อันดับดีขึ้น 4 อันดับจากปีก่อน

BOI ดันไทยติด 1 ใน 10 ผู้ผลิตรถอีวีโลก

มียอดผลิตรวม 7.6 แสนคันต่อปี

 

บีโอไอ ตั้งเป้าดันไทยติด 1 ใน 10 ผู้ผลิตรถยนต์อีวีระดับโลก ภายในปี 2573 มียอดการผลิตรวมกว่า 7.5 แสนคันต่อปี พร้อมดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุด โดยล่าสุด ค่ายรถยนต์อีวี 5 ราย ตกลงซื้อชิ้นส่วนของไทยแล้วกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากมาตรการส่งเสริมการผลิตรถยนต์อีวีที่ผ่านมา ได้มีค่ายรถยนต์อีวีจากทั่วโลก และของไทย เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว 18 โครงการ โดยได้ตั้งเป้าหมายภายในปี ค.ศ.2030 หรือปี พ.ศ.2573 จะผลิตรถยนต์อีวีให้ได้ 759,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง และรถกระบะ 725,000 คัน และรถบัส รถบรรทุก 34,000 คัน และผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีก 675,000 คัน ซึ่งจะส่งผลให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีติด 1 ใน 10 ของโลก และคงความเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์อีวีของอาเซียน

 

นอกจากนี้ บีโอไอ ยังได้เร่งส่งเสริมผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตกับบริษัทรถยนต์อีวีเหล่านี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนของไทยได้รับประโยชน์จากการดึงดูดการลงทุนให้ได้มากที่สุด โดยที่ผ่านมา บีโอไอ ได้จัดงาน Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 5 ราย ได้แก่ บีวายดี , เนต้า , เอ็มจี , บีเอ็มดับบลิว และฉางอัน มีมูลค่าการซื้อชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยในเบื้องต้นกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคต

 

สำหรับ ค่ายรถยนต์อีวี ที่ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในไทย ได้แก่ ฉางอาน ได้แสดงถึงความตั้งใจจริงที่จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดยได้ประกาศเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากถึงร้อยละ 60 ภายในปี 2568 และจะเพิ่มถึงร้อยละ 80 ภายใน 5 ปีอีกด้วย

 

บีวายดี BYD เตรียมใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า ร้อยละ 40 จากผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายรายในประเทศไทย และมีแผนการจัดซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี ในอนาคตจะยกระดับการผลิตและพัฒนาชิ้นส่วนในประเทศให้เป็น “Made in Thailand” เพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน

 

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์อีวีของอาเซียน โดยจะร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงยกระดับ Supply Chain ของไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้นและสร้างการเติบโตให้กับประเทศไทยในระยะยาว โดยจะเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ร้อยละ 80 – 90 ภายใน 3 – 5 ปีข้างหน้า

 

เนต้า มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 60 จากผู้ผลิต 16 ราย และตั้งเป้าเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้ได้ถึงร้อยละ 85 โดยเชื่อมั่นด้านความพร้อมของ Supply Chain ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย

 

โดยความร่วมมือเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศใน Tier ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดซื้อชิ้นส่วน การว่าจ้างผลิต หรือการร่วมมือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาสู่ผู้ประกอบการไทย จะทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี และขยายไปสู่ห่วงโซ่การผลิตรถยนต์อีวีในระดับโลก

รัฐบาล ลงทุน 6 โครงการใหญ่

ปั้นไทยติด 1 ใน 10 ศูนย์กลาง AI โลก

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่า AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 65 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 73 พร้อมมองว่า การนำ AI มาใช้ภายในประเทศ ถือได้ว่าเป็นการสร้าง ‘S curve’ ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามแนวโน้มที่อาจมีผลกระทบต่อประเทศไทย และดูว่า AI จะสามารถช่วยรัฐบาลไทยได้อย่างไรบ้าง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การผสมผสานของ AI เข้าสู่ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการวิจัยของ Goldman Sachs Investment Research ประเมินว่าประเทศไทยอาจเพิ่มผลิตภาพประจำปี ประมาณ 0.9% หากประเทศยอมรับ AI อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หรือ 5G ต่อให้มีศักยภาพสูง แต่ยังนำความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับภาครัฐ ผลกระทบของ AI สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเปลี่ยนแปลงโดยตรงจากการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการทางราชการ และ 2. การเปลี่ยนแปลงทางอ้อม จากการเปลี่ยนแปลงรายได้จากภาษี เนื่องจากโครงการ AI การสร้าง Data Center และการสูญเสียงานในประเทศไทย

 

ในปี 65 รัฐบาลไทยได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ภายใต้การแนะนำของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ยุทธศาสตร์นี้ มีเป้าหมายสำหรับปี 71 โดยหลัก ได้แก่

 

  1. สร้างผู้มีความสามารถด้าน AI มากกว่า 30,000 คน 2. สร้างต้นแบบ R&D AI อย่างน้อย 100 โครงการ 3. หน่วยงาน 600 แห่ง ใช้เทคโนโลยี AI 4. เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 10% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ในภาครัฐและเอกชน และ 5. พัฒนา AI การวิจัย และการใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสร้างผลกระทบทางธุรกิจและสังคมอย่างน้อย 48 พันล้านบาท

 

ในขณะนี้ รัฐบาลได้เริ่มร่างกฎหมายและสร้างความตระหนักแล้ว โดยสามารถเห็นตัวอย่างของการดำเนินการได้จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับบริษัท Microsoft ในปี 67 รัฐบาลมีแผนที่จะเริ่มลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 6 โครงการ ซึ่งต้องการเงินลงทุนรวม 1.5 พันล้านบาท โดยแบ่ง 1 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คน

 

ทั้งนี้ การพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คน ถือเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน เนื่องจากทั่วโลกมีวิศวกร AI เพียง 150,000-300,000 คนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็น 1 ใน 10 ศูนย์กลาง AI ของโลก นอกจากนี้ ยังเพิ่มจำนวนแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา IT ในประเทศไทยขึ้น 28% จาก 106,000 คน เป็น 136,000 คน ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีนักวิจัย AI ชั้นนำทำงานมากที่สุด โดยมีมากกว่าครึ่งของนักวิจัยทั้งหมด ตามด้วยจีน และสหราชอาณาจักร

 

นอกเหนือจากทรัพยากรบุคคลแล้ว ประเทศไทยยังต้องลงทุนใน Data Center เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการดูแลและการประมวลผลข้อมูล ในสหรัฐอเมริกาคาดว่า AI จะใช้พลังงานสูงถึง 25% ของพลังงานทั้งหมด ในตอนนี้ ปริมาณการใช้พลังงานรวมของ Data Center ทั้งหมดในประเทศไทยประมาณ 71 เมกะวัตต์ หรือ 0.2% ของพลังงานที่มีอยู่ในประเทศไทย

 

หากประเทศไทยต้องการเข้าถึงระดับการนำ AI มาใช้ที่คล้ายกับแผนของสหรัฐอเมริกา จะต้องเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลขึ้น 114 เท่า ดังนั้น ภาครัฐต้องลงทุนอย่างเต็มที่ในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หากต้องการบรรลุเป้าหมาย AI

 

สำหรับการใช้งาน AI ของภาครัฐในขั้นเริ่มต้น คาดว่าจะเป็นการสร้างระบบงาน และบริการสาธารณะอัตโนมัติของภาคราชการ เพื่อลดภาระงานของบุคลากรและความซ้ำซากของธุรกรรม เช่น งานธุรการทั่วไป การป้อนข้อมูลด้วยตนเอง หรือการตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้น

 

โดยภาครัฐควรดูตัวอย่างจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่ง Alan Turing Institute คาดว่าจะสามารถทำธุรกรรมอัตโนมัติของภาครัฐได้ถึง 12% โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร ดำเนินการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับประชาชน 1 พันล้านครั้ง/ปี ผ่านบริการเกือบ 400 ประเภท ซึ่งมี 120 ล้านรายการ ที่สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยให้ข้าราชการไทยมุ่งเน้นให้บริการงานที่ซับซ้อน แทนงานที่ซ้ำซาก ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคอย และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน เช่น การสร้างบัตรประชาชนใหม่, การย้ายที่อยู่ หรือการประมวลผลภาษีทั่วไป เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี การพัฒนากระบวนการส่วนใหญ่ สามารถเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่แบบ Real Time และการเข้าใจบริบทได้ 3 หลักที่ประเทศไทยสามารถมุ่งเน้นในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ การจัดการจราจร การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงาน

 

ทั้งนี้ หนึ่งในสายงานภาครัฐที่สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเห็นได้ชัด คือ ระบบการจัดการจราจรของกรุงเทพฯ ซึ่งอาจจะสามารถลดโอกาสที่สูญเสียไปได้ถึง 1.7 พันล้านบาทต่อปีได้ ในปัจจุบันประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปถึง 11 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากปัญหาการจราจรติดขัด โดยเมื่อเร็วๆ นี้ โครงการ Bangkok Area Traffic Control Project (BATCP) ลดความแออัดของการจราจรลงถึง 15%

 

โดยการใช้กล้องวงจรปิดและอัลกอริธึม (“Moderato”) แต่ AI สามารถต่อยอดโดยการติดตามข้อมูลภาพแบบเรียลไทม์กับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (เช่น แนวโน้มและพฤติกรรมของรถเฉพาะโดยใช้ป้ายทะเบียนอ้างอิง เวลาหยุดจอด และอื่นๆ) สิ่งนี้เคยได้รับการทดสอบในเมือง Hull โดย University of Huddersfield และ Simplifai Systems ในสหราชอาณาจักรและสามารถลดความแออัดลงได้ 19% หากนำไปใช้ในกรุงเทพฯ จะมีมูลค่า 1.7 พันล้านบาทต่อปีในการลดโอกาสที่สูญเสียไป

 

สำหรับอีกสายงานที่สามารถนำ AI มาสนับสนุนได้คือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน ในตอนนี้ภาครัฐมีการลงทุน 4 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงมีส่วนต่างถึง 3.7 ล้านล้านบาท หากภาครัฐต้องการให้สอดคล้องกับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานในปี 83 การวางแผนเพื่อบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานโดย AI คาดว่าจะลดการเสียหายลงได้ถึง 70% และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลงได้ 25% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบทั่วไป ซึ่งการลงทุนในบำรุงรักษาผ่าน AI จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปิดช่องว่างของงบด้านโครงสร้างพื้นฐานได้

 

สายงานต่อมา คือการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงานของประเทศไทยโดยใช้ AI ซึ่งในตอนนี้กำลังถูกสำรวจโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) แม้ว่าจะอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังเห็นถึงการลดความจำเป็นในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ลงได้ 3-5% พร้อมกับการเพิ่มความพร้อมใช้งานและความยืนยาวของสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ได้ 5% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

 

ในส่วนของสายงานหลักของภาครัฐ ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ จะเป็นงานที่ต้องการความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (เช่น การทูตหรือการเมือง) และการตัดสินใจระดับสูง แม้ว่า AI อาจสามารถให้คำแนะนำทั่วไปได้ แต่การตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศของประเทศจะยังคงอยู่นอกขอบเขตของ AI

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอให้ภาครัฐพิจารณาความเสี่ยงเกี่ยวกับ AI ในแนวทางคล้ายกับการกำหนดกรอบกฎหมาย Artificial Intelligence Act ของ EU ที่ได้จัดประเภทความเสี่ยงของ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน โดยการสร้างกรอบการจัดการความเสี่ยง AI หรือ National Institute of Standards and Technology ของสหรัฐอเมริกา (NIST) สร้างคู่มือความเสี่ยงที่เกิดจาก AI ประเภทสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยเสนอให้ต้องดำเนินการมากกว่า 400 การกระทำ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ AI

 

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ AI คือการแพร่กระจายข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ผิดพลาด ในขณะนี้มีวิดีโอและการบันทึกปลอมที่สร้างโดย AI แพร่หลายอยู่แล้ว ตั้งแต่ Paper ถึง Taylor Swift ไม่ต้องพูดถึงผู้นำทางการเมือง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการเชิงรุกในการจัดการกับข้อมูลที่ผิดพลาดที่สร้างโดย AI ทั้งในด้านกฎหมายและแคมเปญสร้างความตระหนักรู้ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมายเกี่ยวกับ AI แล้ว

 

ดังนั้น การเพิ่ม “AI literacy for All” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการนิยามที่ชัดเจนของ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ที่ครอบคลุมถึงการเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI โครงการการศึกษาที่ครอบคลุมเป็นสิ่งจำเป็น โดยเน้นไม่เพียงแต่ทักษะทางเทคนิคที่จำเป็นในการใช้งานระบบ AI แต่ยังรวมถึงข้อพิจารณาทางจริยธรรมในการโต้ตอบกับเทคโนโลยี AI ด้วย

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การนำ AI มาใช้ภายในประเทศ สามารถถือได้ว่าเป็นการสร้าง ‘S curve’ ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น และจีน) โดยคาดว่าการลงทุนใน AI จะเติบโตขึ้น 26.8% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 28.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 70 เพื่อสนับสนุนการเติบโตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในทุกระดับอย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การสร้างศูนย์ข้อมูล การจัดตั้งทุนการศึกษาท้องถิ่น และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการศึกษา AI

 

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หวังว่า ด้วยความพยายามเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ ประเทศไทยจะไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง AI แต่ยังเป็นผู้นำที่นำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาสู่เศรษฐกิจ และสังคมผ่านการปฏิวัติ AI

BOI ไฟเขียวลงทุน โรงงานชีวภาพขั้นสูง

ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

 

บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนบริษัท บีบีจีไอ เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง BBGI และ Fermbox Bio จากอินเดีย ในโครงการผลิตเอนไซม์สำหรับอุตสาหกรรม พัฒนาจาก Lab-Scale สู่ Commercial-Scale ขนาดใหญ่ครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมต้นน้ำ BCG ของประเทศ

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้ อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนบริษัท บีบีจีไอ เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบางจากฯ ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง กับบริษัท เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาสังเคราะห์ และด้านการขยายกำลังการผลิตไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อจัดตั้งโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยีการหมักที่แม่นยำ ผลิตเซลลูโลซิก เอนไซม์ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม

 

โดยขยายขนาดจากระดับห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบสู่ระดับเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงขนาดใหญ่แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ด้วยกำลังการผลิตในระยะแรก 2 แสนลิตร ประกอบด้วยถังหมักขนาดใหญ่ 1 แสนลิตร จำนวน 2 ถัง ซึ่งเป็นถังหมักที่มีขนาดใหญ่กว่าอินเดียกว่า 2 เท่า และบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมให้ได้ถึง 1 ล้านลิตร ในระยะต่อไป โดยมีเงินลงทุนในระยะแรก 440 ล้านบาท ตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากในประเทศ

 

ทั้งนี้ Cellulosic Enzyme เป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยและเปลี่ยนเซลลูโลสในชีวมวลเหลือทิ้ง เช่น เศษไม้ ฟางข้าว กากมันสำปะหลัง และชานอ้อย ให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งสามารถต่อยอดไปผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพได้หลากหลาย เช่น พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ โปรตีนชีวภาพ น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (SAF) เป็นต้น และบริษัทยังมีแผนขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) อื่น ๆ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เสริมสุขภาพ เวชสำอาง และพลังงานในระยะต่อไปด้วย

 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขยายขนาดการผลิตในกระบวนการทางชีวภาพจากระดับห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์ให้กับนักวิจัยของสถาบันฯ อีกด้วย

 

“การตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงที่เป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งแรกในอาเซียนในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความพร้อมด้านวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร โครงการนี้จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ต่อยอดจากงานวิจัยให้สามารถ scale up สู่ระดับอุตสาหกรรม อีกทั้งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green หรือ BCG เพื่อมุ่งสู่การเป็น Bio Hub ของภูมิภาคอาเซียน” นายนฤตม์ กล่าว

มาเลเซีย เปิดแผน KL20

เพิ่มมูลค่าสตาร์ทอัพ 3.1 ล้านล้านบาท

 

ในการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางสำหรับยูนิคอร์นและบริษัทร่วมทุนระดับโลก รัฐบาลมาเลเซียได้นำเสนอแพ็คเกจสิ่งจูงใจใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การขับเคลื่อนประเทศให้เข้าสู่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพ 20 อันดับแรกของโลก รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ Rafizi Ramli เปิดเผยความคิดริเริ่มเหล่านี้ในระหว่างการกล่าวปาฐกถาพิเศษของเขาที่การประชุมสุดยอด KL20 ปี 2024

 

โครงการริเริ่มของมาเลเซียที่ได้รับการขนานนามว่า “Unicorn Golden Pass” มุ่งหวังที่จะดึงดูดสตาร์ทอัพยูนิคอร์นทั่วโลก ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการสร้างงานที่มีทักษะสูงและบ่มเพาะผู้ประกอบการในอนาคตและผู้นำด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ

 

“ด้วยนักลงทุนและผู้มีความสามารถที่เหมาะสมในมาเลเซีย เราจะทำให้มาเลเซียเป็นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกภายใต้ Unicorn Golden Pass” รัฐมนตรี Rafizi กล่าว

 

สิ่งจูงใจที่มาเลเซียเสนอ ได้แก่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรการจ้างงานสำหรับผู้บริหารระดับสูง เงินอุดหนุนค่าเช่า อัตราภาษีสัมปทานจากกำไรของบริษัท บริการย้ายถิ่นฐาน และบริการดูแลแขกสตาร์ทอัพเพื่อปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียน

 

การประชุมสุดยอด KL20 ถือเป็นความทะเยอทะยานของมาเลเซียในการยกระดับระบบนิเวศสตาร์ทอัพให้โดดเด่นระดับโลกผ่านการดำเนินการเชิงปฏิบัติ รัฐมนตรี Rafizi เน้นย้ำว่าความคิดริเริ่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงพิมพ์เขียวทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังเป็นชุดของมาตรการที่จับต้องได้ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการเติบโตในทันที

 

แผนปฏิบัติการ KL20 สรุปโครงการริเริ่มที่สำคัญโดยมุ่งเน้นไปที่เงินทุน ความสามารถ และคุณภาพของสตาร์ทอัพ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับเลือกสำหรับทุนในระยะเริ่มต้นและการเติบโต ผู้ประกอบการระดับโลก และผู้มีความสามารถที่มีทักษะ

 

ภายใต้ VC Golden Pass มาเลเซียพยายามดึงดูดผู้ร่วมลงทุนชั้นนำโดยเสนอสิ่งจูงใจ เช่น การเข้าถึงเงินทุนสำหรับพันธมิตรที่จำกัด การให้เงินอุดหนุนพื้นที่สำนักงาน การลงทะเบียนใบอนุญาตแบบเร่งด่วน และการยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรการจ้างงาน

 

Innovation Pass มีเป้าหมายเพื่อขยายกลุ่มผู้มีความสามารถที่มีทักษะสูงภายในมาเลเซีย ผ่านโปรแกรมบัตรผ่านการจ้างงานหลายระดับที่ปรับให้เหมาะกับผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารระดับสูง และผู้มีความสามารถสูงในภาคส่วนเทคโนโลยี

 

มาเลเซียตระหนักถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่แข็งแกร่ง และวางแผนที่จะเพิ่มขีดความสามารถสำหรับชิปประมวลผลสูงภายในศูนย์ข้อมูล โครงการ KL20 GPU จะสนับสนุนสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีในการพัฒนาโซลูชัน AI ที่ก้าวล้ำโดยการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

 

Startup Single Window จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับข้อมูลและแอปพลิเคชันภายในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ซึ่งจะทำให้กระบวนการต่างๆ คล่องตัวสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน

 

รัฐมนตรี Rafizi เน้นย้ำตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของมาเลเซีย ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรในประเทศที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้มาเลเซียเป็นพื้นที่ทดสอบที่เหมาะสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโครงการนำร่อง

 

แผนปฏิบัติการ KL20 ตั้งเป้าที่จะสร้างมูลค่าสตาร์ทอัพเพิ่มเติมอีก 4 แสนล้านริงกิต หรือ 3.1 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 ส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้งานอยู่ได้มากถึง 3,000 ราย และสร้างงานที่มีทักษะสูงมากกว่า 100,000 ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมเปิดตัวเอกสารแผนปฏิบัติการในระหว่างการประชุมสุดยอด KL20 ประจำปี 2567 ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนภาคเทคโนโลยีของมาเลเซียให้ก้าวไปสู่ระดับใหม่

 

การประชุมสุดยอด KL20 ประจำปี 2024 ระยะเวลาสองวัน ซึ่งจัดโดยรัฐบาลมาเลเซียและเป็นหัวหอกโดยกระทรวงเศรษฐกิจ สามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมได้มากกว่า 3,000 ราย รวมถึงนักลงทุนและบริษัทสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ ส่งสัญญาณถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งต่อเป้าหมายของมาเลเซียในการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี ระดับโลก

 

ที่มา : https://technologytimes.pk/2024/04/23/kl20-summit-highlights-malaysias-ambitious-startup-strategy/

 

มาเลเซีย ปฏิรูปการวิจัยทางคลินิก

หวังแชร์ตลาด 8 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า โอกาสในการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกจะต้องได้รับการอำนวยความสะดวก และปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ซึ่งมาเลเซียควรคว้าโอกาส พยายามปฏิรูปให้ก้าวหน้า และขจัดอุปสรรคต่อการวิจัยทางคลินิก

 

เขากล่าวว่า สิ่งนี้จะต้องสะท้อนให้เห็นในความง่ายในการทำธุรกิจ โดยการปรับปรุงกำหนดเวลา และลดกระบวนการราชการที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกันก็รักษาคุณภาพและมาตรฐานของเรา โดยรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลงทุนและพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลประโยชน์มูลค่าเพิ่มแก่นักลงทุนในอุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกในประเทศนี้

 

“รัฐบาลมาเลเซียตระหนักถึงคุณค่าที่นำเสนอในการทำให้ประเทศนี้เป็นศูนย์กลางการทดลองทางคลินิกระดับโลก ตลอดจนการสนับสนุนเชิงคุณภาพในด้านการดูแลสุขภาพ” เขากล่าวในพิธีเปิดการประชุม Clinical Research Malaysia (CRM) Trial Connect Conference 2024

 

ด้าน ดาโต๊ะ เสรี ดร. ซูลเคฟลาย อาหมัด  รัฐมนตรีสาธารณสุข กล่าวว่า ตลาดการทดลองทางคลินิกทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 โดยคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 6.5 ต่อปี ขณะนี้ครึ่งหนึ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

 

“เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นยักษ์ใหญ่ที่กำลังหลับใหล เพราะโดยรวมแล้ว ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดด้วยแรงงานที่มีทักษะและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุน” เขากล่าว

 

ในขณะที่อุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกเติบโตขึ้น บริการสนับสนุนต่างๆ เช่น องค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ห้องปฏิบัติการ โรงงานผลิต และบริการด้านโลจิสติกส์ก็จะมีการขยายตัวเช่นกัน

 

“นี่คือจุดที่มีการสร้างบุคลากรที่มีทักษะมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรม เราได้สังเกตเห็นสิ่งนี้แล้วใน Parexel Malaysia ซึ่งมีการจัดตั้งศูนย์การจัดการข้อมูลเพื่อสนับสนุนภูมิภาค

 

“นอกจากนี้ การจัดตั้ง Hematogenix ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการด้านเนื้องอกวิทยาส่วนกลางที่มีมาเลเซียเป็นหนึ่งในสี่แห่งทั่วโลก ได้มีส่วนสนับสนุนการจ้างนักวิทยาศาสตร์และนักชีวสารสนเทศศาสตร์ในประเทศ” เขากล่าว พร้อมเสริมว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นจากการวิจัยทางคลินิกมีผลกระทบอย่างมาก โดยมีการบันทึกตำแหน่งงานที่มีทักษะมากกว่า 2,700 ตำแหน่งในสาขานี้ในปีที่แล้ว

 

ที่มา : https://www.theborneopost.com/2024/05/09/anwar-malaysia-should-grab-chance-to-advance-reforms-in-clinical-research/

BOI อนุมัติลงทุน 785 โครงการ

เพิ่มยอดส่งออกกว่า 6 แสนล้านบาท/ปี

 

การส่งเสริมการลงทุนของ บีโอไอ เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยให้ไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล และทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอนาคต

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในไตรมาส 1 ของปีนี้ บีโอไอ ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ไตรมาสแรก ปี 2567 มีจำนวน 785 โครงการ เงินลงทุนรวม 254,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยประโยชน์ของโครงการเหล่านี้ คาดว่าจะทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาท/ปี มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 2.4 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และเกิดการจ้างงานคนไทยประมาณ 50,000 ตำแหน่ง สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 647 โครงการ เงินลงทุนรวม 256,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107%

 

โดย ในไตรมาสแรกนี้ มีการลงทุนสำคัญเกิดขึ้นในไทยหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ รวมทั้งโครงการผลิตเอนไซม์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโครงการไบโอรีไฟเนอรี่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความพร้อมของไทยสำหรับการสร้างฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และทำให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถตอบโจทย์การลงทุนในทิศทางใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกได้เป็นอย่างดี

 

“จังหวะเวลานี้มีความสำคัญ และเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในการดึงการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เราเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ด้วยความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความเสถียรของไฟฟ้าและความพร้อมด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง คุณภาพของบุคลากร สภาพแวดล้อมที่ดี ปัจจัยที่เอื้อสำหรับการเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายนฤตม์ กล่าว