Economic

รัฐบาล ลงทุน 6 โครงการใหญ่

ปั้นไทยติด 1 ใน 10 ศูนย์กลาง AI โลก

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่า AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 65 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 73 พร้อมมองว่า การนำ AI มาใช้ภายในประเทศ ถือได้ว่าเป็นการสร้าง ‘S curve’ ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามแนวโน้มที่อาจมีผลกระทบต่อประเทศไทย และดูว่า AI จะสามารถช่วยรัฐบาลไทยได้อย่างไรบ้าง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การผสมผสานของ AI เข้าสู่ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการวิจัยของ Goldman Sachs Investment Research ประเมินว่าประเทศไทยอาจเพิ่มผลิตภาพประจำปี ประมาณ 0.9% หากประเทศยอมรับ AI อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หรือ 5G ต่อให้มีศักยภาพสูง แต่ยังนำความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับภาครัฐ ผลกระทบของ AI สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเปลี่ยนแปลงโดยตรงจากการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการทางราชการ และ 2. การเปลี่ยนแปลงทางอ้อม จากการเปลี่ยนแปลงรายได้จากภาษี เนื่องจากโครงการ AI การสร้าง Data Center และการสูญเสียงานในประเทศไทย

 

ในปี 65 รัฐบาลไทยได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ภายใต้การแนะนำของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ยุทธศาสตร์นี้ มีเป้าหมายสำหรับปี 71 โดยหลัก ได้แก่

 

  1. สร้างผู้มีความสามารถด้าน AI มากกว่า 30,000 คน 2. สร้างต้นแบบ R&D AI อย่างน้อย 100 โครงการ 3. หน่วยงาน 600 แห่ง ใช้เทคโนโลยี AI 4. เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 10% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ในภาครัฐและเอกชน และ 5. พัฒนา AI การวิจัย และการใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสร้างผลกระทบทางธุรกิจและสังคมอย่างน้อย 48 พันล้านบาท

 

ในขณะนี้ รัฐบาลได้เริ่มร่างกฎหมายและสร้างความตระหนักแล้ว โดยสามารถเห็นตัวอย่างของการดำเนินการได้จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับบริษัท Microsoft ในปี 67 รัฐบาลมีแผนที่จะเริ่มลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 6 โครงการ ซึ่งต้องการเงินลงทุนรวม 1.5 พันล้านบาท โดยแบ่ง 1 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คน

 

ทั้งนี้ การพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คน ถือเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน เนื่องจากทั่วโลกมีวิศวกร AI เพียง 150,000-300,000 คนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็น 1 ใน 10 ศูนย์กลาง AI ของโลก นอกจากนี้ ยังเพิ่มจำนวนแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา IT ในประเทศไทยขึ้น 28% จาก 106,000 คน เป็น 136,000 คน ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีนักวิจัย AI ชั้นนำทำงานมากที่สุด โดยมีมากกว่าครึ่งของนักวิจัยทั้งหมด ตามด้วยจีน และสหราชอาณาจักร

 

นอกเหนือจากทรัพยากรบุคคลแล้ว ประเทศไทยยังต้องลงทุนใน Data Center เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการดูแลและการประมวลผลข้อมูล ในสหรัฐอเมริกาคาดว่า AI จะใช้พลังงานสูงถึง 25% ของพลังงานทั้งหมด ในตอนนี้ ปริมาณการใช้พลังงานรวมของ Data Center ทั้งหมดในประเทศไทยประมาณ 71 เมกะวัตต์ หรือ 0.2% ของพลังงานที่มีอยู่ในประเทศไทย

 

หากประเทศไทยต้องการเข้าถึงระดับการนำ AI มาใช้ที่คล้ายกับแผนของสหรัฐอเมริกา จะต้องเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลขึ้น 114 เท่า ดังนั้น ภาครัฐต้องลงทุนอย่างเต็มที่ในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หากต้องการบรรลุเป้าหมาย AI

 

สำหรับการใช้งาน AI ของภาครัฐในขั้นเริ่มต้น คาดว่าจะเป็นการสร้างระบบงาน และบริการสาธารณะอัตโนมัติของภาคราชการ เพื่อลดภาระงานของบุคลากรและความซ้ำซากของธุรกรรม เช่น งานธุรการทั่วไป การป้อนข้อมูลด้วยตนเอง หรือการตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้น

 

โดยภาครัฐควรดูตัวอย่างจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่ง Alan Turing Institute คาดว่าจะสามารถทำธุรกรรมอัตโนมัติของภาครัฐได้ถึง 12% โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร ดำเนินการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับประชาชน 1 พันล้านครั้ง/ปี ผ่านบริการเกือบ 400 ประเภท ซึ่งมี 120 ล้านรายการ ที่สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยให้ข้าราชการไทยมุ่งเน้นให้บริการงานที่ซับซ้อน แทนงานที่ซ้ำซาก ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคอย และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน เช่น การสร้างบัตรประชาชนใหม่, การย้ายที่อยู่ หรือการประมวลผลภาษีทั่วไป เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี การพัฒนากระบวนการส่วนใหญ่ สามารถเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่แบบ Real Time และการเข้าใจบริบทได้ 3 หลักที่ประเทศไทยสามารถมุ่งเน้นในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ การจัดการจราจร การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงาน

 

ทั้งนี้ หนึ่งในสายงานภาครัฐที่สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเห็นได้ชัด คือ ระบบการจัดการจราจรของกรุงเทพฯ ซึ่งอาจจะสามารถลดโอกาสที่สูญเสียไปได้ถึง 1.7 พันล้านบาทต่อปีได้ ในปัจจุบันประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปถึง 11 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากปัญหาการจราจรติดขัด โดยเมื่อเร็วๆ นี้ โครงการ Bangkok Area Traffic Control Project (BATCP) ลดความแออัดของการจราจรลงถึง 15%

 

โดยการใช้กล้องวงจรปิดและอัลกอริธึม (“Moderato”) แต่ AI สามารถต่อยอดโดยการติดตามข้อมูลภาพแบบเรียลไทม์กับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (เช่น แนวโน้มและพฤติกรรมของรถเฉพาะโดยใช้ป้ายทะเบียนอ้างอิง เวลาหยุดจอด และอื่นๆ) สิ่งนี้เคยได้รับการทดสอบในเมือง Hull โดย University of Huddersfield และ Simplifai Systems ในสหราชอาณาจักรและสามารถลดความแออัดลงได้ 19% หากนำไปใช้ในกรุงเทพฯ จะมีมูลค่า 1.7 พันล้านบาทต่อปีในการลดโอกาสที่สูญเสียไป

 

สำหรับอีกสายงานที่สามารถนำ AI มาสนับสนุนได้คือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน ในตอนนี้ภาครัฐมีการลงทุน 4 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงมีส่วนต่างถึง 3.7 ล้านล้านบาท หากภาครัฐต้องการให้สอดคล้องกับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานในปี 83 การวางแผนเพื่อบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานโดย AI คาดว่าจะลดการเสียหายลงได้ถึง 70% และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลงได้ 25% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบทั่วไป ซึ่งการลงทุนในบำรุงรักษาผ่าน AI จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปิดช่องว่างของงบด้านโครงสร้างพื้นฐานได้

 

สายงานต่อมา คือการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงานของประเทศไทยโดยใช้ AI ซึ่งในตอนนี้กำลังถูกสำรวจโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) แม้ว่าจะอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังเห็นถึงการลดความจำเป็นในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ลงได้ 3-5% พร้อมกับการเพิ่มความพร้อมใช้งานและความยืนยาวของสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ได้ 5% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

 

ในส่วนของสายงานหลักของภาครัฐ ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ จะเป็นงานที่ต้องการความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (เช่น การทูตหรือการเมือง) และการตัดสินใจระดับสูง แม้ว่า AI อาจสามารถให้คำแนะนำทั่วไปได้ แต่การตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศของประเทศจะยังคงอยู่นอกขอบเขตของ AI

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอให้ภาครัฐพิจารณาความเสี่ยงเกี่ยวกับ AI ในแนวทางคล้ายกับการกำหนดกรอบกฎหมาย Artificial Intelligence Act ของ EU ที่ได้จัดประเภทความเสี่ยงของ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน โดยการสร้างกรอบการจัดการความเสี่ยง AI หรือ National Institute of Standards and Technology ของสหรัฐอเมริกา (NIST) สร้างคู่มือความเสี่ยงที่เกิดจาก AI ประเภทสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยเสนอให้ต้องดำเนินการมากกว่า 400 การกระทำ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ AI

 

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ AI คือการแพร่กระจายข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ผิดพลาด ในขณะนี้มีวิดีโอและการบันทึกปลอมที่สร้างโดย AI แพร่หลายอยู่แล้ว ตั้งแต่ Paper ถึง Taylor Swift ไม่ต้องพูดถึงผู้นำทางการเมือง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการเชิงรุกในการจัดการกับข้อมูลที่ผิดพลาดที่สร้างโดย AI ทั้งในด้านกฎหมายและแคมเปญสร้างความตระหนักรู้ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมายเกี่ยวกับ AI แล้ว

 

ดังนั้น การเพิ่ม “AI literacy for All” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการนิยามที่ชัดเจนของ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ที่ครอบคลุมถึงการเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI โครงการการศึกษาที่ครอบคลุมเป็นสิ่งจำเป็น โดยเน้นไม่เพียงแต่ทักษะทางเทคนิคที่จำเป็นในการใช้งานระบบ AI แต่ยังรวมถึงข้อพิจารณาทางจริยธรรมในการโต้ตอบกับเทคโนโลยี AI ด้วย

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การนำ AI มาใช้ภายในประเทศ สามารถถือได้ว่าเป็นการสร้าง ‘S curve’ ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น และจีน) โดยคาดว่าการลงทุนใน AI จะเติบโตขึ้น 26.8% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 28.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 70 เพื่อสนับสนุนการเติบโตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในทุกระดับอย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การสร้างศูนย์ข้อมูล การจัดตั้งทุนการศึกษาท้องถิ่น และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการศึกษา AI

 

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หวังว่า ด้วยความพยายามเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ ประเทศไทยจะไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง AI แต่ยังเป็นผู้นำที่นำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาสู่เศรษฐกิจ และสังคมผ่านการปฏิวัติ AI

BOI ไฟเขียวลงทุน โรงงานชีวภาพขั้นสูง

ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

 

บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนบริษัท บีบีจีไอ เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง BBGI และ Fermbox Bio จากอินเดีย ในโครงการผลิตเอนไซม์สำหรับอุตสาหกรรม พัฒนาจาก Lab-Scale สู่ Commercial-Scale ขนาดใหญ่ครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมต้นน้ำ BCG ของประเทศ

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้ อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนบริษัท บีบีจีไอ เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบางจากฯ ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง กับบริษัท เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาสังเคราะห์ และด้านการขยายกำลังการผลิตไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อจัดตั้งโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยีการหมักที่แม่นยำ ผลิตเซลลูโลซิก เอนไซม์ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม

 

โดยขยายขนาดจากระดับห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบสู่ระดับเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงขนาดใหญ่แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ด้วยกำลังการผลิตในระยะแรก 2 แสนลิตร ประกอบด้วยถังหมักขนาดใหญ่ 1 แสนลิตร จำนวน 2 ถัง ซึ่งเป็นถังหมักที่มีขนาดใหญ่กว่าอินเดียกว่า 2 เท่า และบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมให้ได้ถึง 1 ล้านลิตร ในระยะต่อไป โดยมีเงินลงทุนในระยะแรก 440 ล้านบาท ตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากในประเทศ

 

ทั้งนี้ Cellulosic Enzyme เป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยและเปลี่ยนเซลลูโลสในชีวมวลเหลือทิ้ง เช่น เศษไม้ ฟางข้าว กากมันสำปะหลัง และชานอ้อย ให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งสามารถต่อยอดไปผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพได้หลากหลาย เช่น พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ โปรตีนชีวภาพ น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (SAF) เป็นต้น และบริษัทยังมีแผนขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) อื่น ๆ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เสริมสุขภาพ เวชสำอาง และพลังงานในระยะต่อไปด้วย

 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขยายขนาดการผลิตในกระบวนการทางชีวภาพจากระดับห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์ให้กับนักวิจัยของสถาบันฯ อีกด้วย

 

“การตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงที่เป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งแรกในอาเซียนในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความพร้อมด้านวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร โครงการนี้จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ต่อยอดจากงานวิจัยให้สามารถ scale up สู่ระดับอุตสาหกรรม อีกทั้งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green หรือ BCG เพื่อมุ่งสู่การเป็น Bio Hub ของภูมิภาคอาเซียน” นายนฤตม์ กล่าว

มาเลเซีย เปิดแผน KL20

เพิ่มมูลค่าสตาร์ทอัพ 3.1 ล้านล้านบาท

 

ในการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางสำหรับยูนิคอร์นและบริษัทร่วมทุนระดับโลก รัฐบาลมาเลเซียได้นำเสนอแพ็คเกจสิ่งจูงใจใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การขับเคลื่อนประเทศให้เข้าสู่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพ 20 อันดับแรกของโลก รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ Rafizi Ramli เปิดเผยความคิดริเริ่มเหล่านี้ในระหว่างการกล่าวปาฐกถาพิเศษของเขาที่การประชุมสุดยอด KL20 ปี 2024

 

โครงการริเริ่มของมาเลเซียที่ได้รับการขนานนามว่า “Unicorn Golden Pass” มุ่งหวังที่จะดึงดูดสตาร์ทอัพยูนิคอร์นทั่วโลก ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการสร้างงานที่มีทักษะสูงและบ่มเพาะผู้ประกอบการในอนาคตและผู้นำด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ

 

“ด้วยนักลงทุนและผู้มีความสามารถที่เหมาะสมในมาเลเซีย เราจะทำให้มาเลเซียเป็นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกภายใต้ Unicorn Golden Pass” รัฐมนตรี Rafizi กล่าว

 

สิ่งจูงใจที่มาเลเซียเสนอ ได้แก่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรการจ้างงานสำหรับผู้บริหารระดับสูง เงินอุดหนุนค่าเช่า อัตราภาษีสัมปทานจากกำไรของบริษัท บริการย้ายถิ่นฐาน และบริการดูแลแขกสตาร์ทอัพเพื่อปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียน

 

การประชุมสุดยอด KL20 ถือเป็นความทะเยอทะยานของมาเลเซียในการยกระดับระบบนิเวศสตาร์ทอัพให้โดดเด่นระดับโลกผ่านการดำเนินการเชิงปฏิบัติ รัฐมนตรี Rafizi เน้นย้ำว่าความคิดริเริ่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงพิมพ์เขียวทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังเป็นชุดของมาตรการที่จับต้องได้ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการเติบโตในทันที

 

แผนปฏิบัติการ KL20 สรุปโครงการริเริ่มที่สำคัญโดยมุ่งเน้นไปที่เงินทุน ความสามารถ และคุณภาพของสตาร์ทอัพ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับเลือกสำหรับทุนในระยะเริ่มต้นและการเติบโต ผู้ประกอบการระดับโลก และผู้มีความสามารถที่มีทักษะ

 

ภายใต้ VC Golden Pass มาเลเซียพยายามดึงดูดผู้ร่วมลงทุนชั้นนำโดยเสนอสิ่งจูงใจ เช่น การเข้าถึงเงินทุนสำหรับพันธมิตรที่จำกัด การให้เงินอุดหนุนพื้นที่สำนักงาน การลงทะเบียนใบอนุญาตแบบเร่งด่วน และการยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรการจ้างงาน

 

Innovation Pass มีเป้าหมายเพื่อขยายกลุ่มผู้มีความสามารถที่มีทักษะสูงภายในมาเลเซีย ผ่านโปรแกรมบัตรผ่านการจ้างงานหลายระดับที่ปรับให้เหมาะกับผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารระดับสูง และผู้มีความสามารถสูงในภาคส่วนเทคโนโลยี

 

มาเลเซียตระหนักถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่แข็งแกร่ง และวางแผนที่จะเพิ่มขีดความสามารถสำหรับชิปประมวลผลสูงภายในศูนย์ข้อมูล โครงการ KL20 GPU จะสนับสนุนสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีในการพัฒนาโซลูชัน AI ที่ก้าวล้ำโดยการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

 

Startup Single Window จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับข้อมูลและแอปพลิเคชันภายในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ซึ่งจะทำให้กระบวนการต่างๆ คล่องตัวสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน

 

รัฐมนตรี Rafizi เน้นย้ำตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของมาเลเซีย ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรในประเทศที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้มาเลเซียเป็นพื้นที่ทดสอบที่เหมาะสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโครงการนำร่อง

 

แผนปฏิบัติการ KL20 ตั้งเป้าที่จะสร้างมูลค่าสตาร์ทอัพเพิ่มเติมอีก 4 แสนล้านริงกิต หรือ 3.1 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 ส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้งานอยู่ได้มากถึง 3,000 ราย และสร้างงานที่มีทักษะสูงมากกว่า 100,000 ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมเปิดตัวเอกสารแผนปฏิบัติการในระหว่างการประชุมสุดยอด KL20 ประจำปี 2567 ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนภาคเทคโนโลยีของมาเลเซียให้ก้าวไปสู่ระดับใหม่

 

การประชุมสุดยอด KL20 ประจำปี 2024 ระยะเวลาสองวัน ซึ่งจัดโดยรัฐบาลมาเลเซียและเป็นหัวหอกโดยกระทรวงเศรษฐกิจ สามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมได้มากกว่า 3,000 ราย รวมถึงนักลงทุนและบริษัทสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ ส่งสัญญาณถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งต่อเป้าหมายของมาเลเซียในการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี ระดับโลก

 

ที่มา : https://technologytimes.pk/2024/04/23/kl20-summit-highlights-malaysias-ambitious-startup-strategy/

 

มาเลเซีย ปฏิรูปการวิจัยทางคลินิก

หวังแชร์ตลาด 8 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า โอกาสในการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกจะต้องได้รับการอำนวยความสะดวก และปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ซึ่งมาเลเซียควรคว้าโอกาส พยายามปฏิรูปให้ก้าวหน้า และขจัดอุปสรรคต่อการวิจัยทางคลินิก

 

เขากล่าวว่า สิ่งนี้จะต้องสะท้อนให้เห็นในความง่ายในการทำธุรกิจ โดยการปรับปรุงกำหนดเวลา และลดกระบวนการราชการที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกันก็รักษาคุณภาพและมาตรฐานของเรา โดยรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลงทุนและพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลประโยชน์มูลค่าเพิ่มแก่นักลงทุนในอุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกในประเทศนี้

 

“รัฐบาลมาเลเซียตระหนักถึงคุณค่าที่นำเสนอในการทำให้ประเทศนี้เป็นศูนย์กลางการทดลองทางคลินิกระดับโลก ตลอดจนการสนับสนุนเชิงคุณภาพในด้านการดูแลสุขภาพ” เขากล่าวในพิธีเปิดการประชุม Clinical Research Malaysia (CRM) Trial Connect Conference 2024

 

ด้าน ดาโต๊ะ เสรี ดร. ซูลเคฟลาย อาหมัด  รัฐมนตรีสาธารณสุข กล่าวว่า ตลาดการทดลองทางคลินิกทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 โดยคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 6.5 ต่อปี ขณะนี้ครึ่งหนึ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

 

“เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นยักษ์ใหญ่ที่กำลังหลับใหล เพราะโดยรวมแล้ว ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดด้วยแรงงานที่มีทักษะและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุน” เขากล่าว

 

ในขณะที่อุตสาหกรรมการวิจัยทางคลินิกเติบโตขึ้น บริการสนับสนุนต่างๆ เช่น องค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ห้องปฏิบัติการ โรงงานผลิต และบริการด้านโลจิสติกส์ก็จะมีการขยายตัวเช่นกัน

 

“นี่คือจุดที่มีการสร้างบุคลากรที่มีทักษะมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรม เราได้สังเกตเห็นสิ่งนี้แล้วใน Parexel Malaysia ซึ่งมีการจัดตั้งศูนย์การจัดการข้อมูลเพื่อสนับสนุนภูมิภาค

 

“นอกจากนี้ การจัดตั้ง Hematogenix ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการด้านเนื้องอกวิทยาส่วนกลางที่มีมาเลเซียเป็นหนึ่งในสี่แห่งทั่วโลก ได้มีส่วนสนับสนุนการจ้างนักวิทยาศาสตร์และนักชีวสารสนเทศศาสตร์ในประเทศ” เขากล่าว พร้อมเสริมว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นจากการวิจัยทางคลินิกมีผลกระทบอย่างมาก โดยมีการบันทึกตำแหน่งงานที่มีทักษะมากกว่า 2,700 ตำแหน่งในสาขานี้ในปีที่แล้ว

 

ที่มา : https://www.theborneopost.com/2024/05/09/anwar-malaysia-should-grab-chance-to-advance-reforms-in-clinical-research/

BOI อนุมัติลงทุน 785 โครงการ

เพิ่มยอดส่งออกกว่า 6 แสนล้านบาท/ปี

 

การส่งเสริมการลงทุนของ บีโอไอ เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยให้ไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล และทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอนาคต

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในไตรมาส 1 ของปีนี้ บีโอไอ ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ไตรมาสแรก ปี 2567 มีจำนวน 785 โครงการ เงินลงทุนรวม 254,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยประโยชน์ของโครงการเหล่านี้ คาดว่าจะทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาท/ปี มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 2.4 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และเกิดการจ้างงานคนไทยประมาณ 50,000 ตำแหน่ง สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 647 โครงการ เงินลงทุนรวม 256,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107%

 

โดย ในไตรมาสแรกนี้ มีการลงทุนสำคัญเกิดขึ้นในไทยหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ รวมทั้งโครงการผลิตเอนไซม์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโครงการไบโอรีไฟเนอรี่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความพร้อมของไทยสำหรับการสร้างฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และทำให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถตอบโจทย์การลงทุนในทิศทางใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกได้เป็นอย่างดี

 

“จังหวะเวลานี้มีความสำคัญ และเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในการดึงการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เราเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ด้วยความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความเสถียรของไฟฟ้าและความพร้อมด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง คุณภาพของบุคลากร สภาพแวดล้อมที่ดี ปัจจัยที่เอื้อสำหรับการเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายนฤตม์ กล่าว

BOI เผยยอดขอลงทุน ไตรมาส 1 โต 31%

มูลค่าเงินลงทุน ทะลุ 2.2 แสนล้านบาท

 

ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก ปี 2567 มีคำขอรับการส่งเสริม 724 โครงการ เงินลงทุน 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% นำโดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในไทยยังมีแนวโน้มที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรก การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในทุกขั้นตอน ทั้งการขอรับการส่งเสริม การอนุมัติให้การส่งเสริม การออกบัตรส่งเสริม และเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยในส่วนของตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรก ปี 2567 มีจำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31

 

สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลไทยเดินหน้าบุกดึงการลงทุนจากกลุ่มบริษัทชั้นนำทั่วโลก การแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการประกาศมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ ของบีโอไอ

 

นอกจากนี้ ยังได้รับแรงผลักดันจากกระแสการย้ายฐานการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งมีการลงทุนจำนวนมากในอุตสาหกรรมใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ตามเทรนด์โลก เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มพลังงานหมุนเวียน และกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการขยายตัวของ AI และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลขององค์กรต่าง ๆ เป็นต้น

 

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 77,194 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน 21,328 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 17,672 ล้านบาท ดิจิทัล 17,498 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร 13,278 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีเงินลงทุนสูงสุด ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) กิจการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ (Wafer Fabrication) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์สำหรับ Power Electronics และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ

 

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 460 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 130 มูลค่าเงินลงทุนรวม 169,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 42,539 ล้านบาท จีน 34,671 ล้านบาท ฮ่องกง 26,573 ล้านบาท ไต้หวัน 19,960 ล้านบาท และออสเตรเลีย 17,248 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้นเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทสิงคโปร์ที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนในกิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)

 

ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง มีมูลค่า 97,651 ล้านบาท จาก 300 โครงการ รองลงมาได้แก่ ภาคตะวันออก 95,112 ล้านบาท ภาคเหนือ 17,665 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7,849 ล้านบาท ภาคใต้ 7,045 ล้านบาท และภาคตะวันตก 2,885 ล้านบาท ตามลำดับ

 

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainable Industry ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจมากขึ้นเป็นลำดับ ในไตรมาสแรก ปี 2567 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 105 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 5,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต

MID จัดอันดับเมืองอัจฉริยะ ปี 67

กทม. ติดอันดับ 84 ของโลก ที่ 3 อาเซียน

 

สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาการจัดการ หรือ MID ได้รวบรวมข้อมูลเมืองใหญ่ทั่วโลก 142 เมือง มาจัดอันดับเมืองอัจฉริยะประจำปี 2567 ที่พึ่งประกาศในเดือนเมษายน พบว่า เมืองที่มีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ ซูริก สวิสแลนด์ อันดับ 2 ออสโล นอร์เวย์ อันดับ 3 แคนเบอร์รา ออสเตรเลีย อันดับ 4 เจนีวา สวิสแลนด์ อันดับ 5 สิงคโปร์ อันดับ 6 โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก อันดับ 7 โลซาน สวิสแลนด์ อันดับ 8 ลอนดอน อังกฤษ อันดับ 9 เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ และอันดับ 10 อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

โดยมีเมืองอัจฉริยะที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะประเทศสวิสแลนด์ติดอันดับถึง 3 เมือง ในขณะที่เอเชียติดอันดับ 2 เมือง ในส่วนของประเทศไทย กรุงเทพอยู่ในอันดับที่ 84 ดีขึ้น 4 อันดับจากปี 2566 ที่อยู่ในอันดับ 88  และอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ อันดับ 5 ของโลก , กัวลาลัมเปอร์ อันดับ 73 ของโลก , กรุงเทพฯ อันดับ 84 ของโลก , ฮานอย อันดับ 97 ของโลก , จาการ์ตา อันดับ 103 ของโลก , โฮจิมินห์ อันดับ 105 ของโลก และมะนิลา อันดับ 121 ของโลก

 

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตในการจัดอันดับปี 2567 อันดับของไทยใกล้เคียงกับกรุงโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น ที่อยู่ในอันดับที่ 86 ต่ำกว่ากรุงเทพฯ 2 อันดับ เมืองเบอมิ่งแฮม อังกฤษ อันดับที่ 83 มิลาน อิตาลี อันดับที่ 91 และเทลอาวีฟ อิสราเอล อันดับที่ 94

 

สำหรับ ในการจัดอันดับจะใช้ตัวชี้วัดหลักที่สำคัญ คือ 1. ดัชนีเมืองอัจฉริยะของ IMD ปี 2024 ที่ประเมินการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในเมืองของตน 2. SCI ฉบับนี้จัดอันดับ 142 เมืองทั่วโลกโดยรวบรวมการรับรู้ของผู้อยู่อาศัย 120 คนในแต่ละเมือง คะแนนสุดท้ายของแต่ละเมืองคำนวณโดยใช้การรับรู้ของการสำรวจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีน้ำหนัก 3:2:1 สำหรับปี 2024:2023:2021

 

3 มีเสาหลักสองประการ คือ เสาโครงสร้างหมายถึงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของเมือง และเสาเทคโนโลยีที่อธิบายข้อกำหนดและบริการทางเทคโนโลยีที่มีให้กับผู้อยู่อาศัย 4 แต่ละเสาหลักได้รับการประเมินในห้าประเด็นสำคัญ ได้แก่ สุขภาพและความปลอดภัย ความคล่องตัว กิจกรรม โอกาส และการกำกับดูแล 5 เมืองต่างๆ แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มตามคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ของ Global Data Lab ของเมืองที่พวกเขาอยู่

 

6 ภายในกลุ่ม HDI แต่ละกลุ่ม เมืองจะได้รับ ‘ระดับการให้คะแนน’ (AAA ถึง D) ตามคะแนนการรับรู้ของเมืองที่กำหนด เปรียบเทียบกับคะแนนของเมืองอื่นๆ ทั้งหมดภายในกลุ่มเดียวกัน  และ 7 การจัดอันดับจะแสดงในสองรูปแบบ คือ การจัดอันดับโดยรวม (1 ถึง 142) และการจัดอันดับสำหรับแต่ละเสาหลักและโดยรวม

 

ในส่วนของ กรุงเทพฯ เคยอยู่สูงสุดในอันดับ 78 เมื่อปี 2563 จากนั้นก็ลดลงเรื่อย ๆ และพึ่งกระเตื้องขึ้นมาในปีนี้ และถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 3 มีปัจจัยเมืองอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในระดับ CCC และปัจจัยในด้านเทคโนโลยีในระดับ อย่างไรก็ตาม ในการจัดเรตติ้งของโครงสร้างกรุงเทพฯ คะแนนจะอยู่ในระดับค่ากลางของกลุ่ม 3 แต่เรตติ้งในด้านเทคโนโลยีจะมีคะแนนสูงกว่าในกลุ่ม 3 อย่างเห็นได้ชัด

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามถึงปัญหาสำคัญของเมืองกรุงเทพฯ จากตัวบ่งชี้ 15 ตัว ผู้ตอบแบบสำรวจถูกขอให้เลือก 5 ตัวที่พวกเขามองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดสำหรับเมืองกรุงเทพฯ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหามลพิษทางอากาศ 64% รองลงมาเป็นความปลอดภัย 54% คอรัปชั่น 47% ความแออัดของถนน 45% สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน 39% การขนส่งสาธารณะ 35%

เปิดผลสำรวจประเทศน่าลงทุน

ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน

 

ในปัจจุบันหลายฝ่ายมองว่าศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนของไทยลดลงมากจนยากที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่หากมองในด้านตัวเลขเศรษฐกิจในทุกด้าน และจากการวิเคราะห์ของต่างชาติ พบว่า ศักยภาพการแข่งขันด้านดึงดูดการลงทุนของไทยยังคงอยู่ในระดับต้น ๆ ของอาเซียน

 

โดย จากการสำรวจของ US News & World Report ประจำปี 2566 จาก 87 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศที่ดีที่สุดในการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ไอ้แก่ อันดับ 1 สิงคโปร์ และเป็นอันดับ 5 ของโลก อันดับ 2 ไทย และเป็นอันดับ 31 ของโลก อันดับ 3 มาเลเซีย และเป็นอันดับ 32 ของโลก อันดับ 4 อินโดนีเซีย และเป็นอันดับ 38 ของโลก อันดับ 5 เวียดนาม และเป็นอันดับ 42 ของโลก และอันดับ 6 ฟิลิปปินส์ และเป็นอันดับ 59 ของโลก

 

ในขณะที่ประเทศที่ดีที่สุดในการตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติ อันดับ 1 สิงคโปร์ และเป็นอันดับ 13 ของโลก ดีขึ้นกว่าปีก่อน 4 อันดับ , อันดับ 2 ไทย และเป็นอันดับ 34 ของโลก ดีกว่าปีก่อน 6 อันดับ , อันดับ 3 มาเลเซีย และเป็นอันดับ 36 ของโลก ดีขึ้นกว่าปีก่อน 13 อันดับ , อันดับ 4 อินโดนีเซีย และเป็นอันดับ 51 ของโลก ลดลงจากปีก่อน 5 อันดับ , อันดับ 5 ฟิลิปปินส์ และเป็นอันดับ 61 ของโลก ลดลงจากปีก่อน 1 อันดับ และอันดับ 6 เวียดนาม และเป็นอันดับ 64 ของโลก ลดลงจากปีก่อน 2 อันดับ

 

ในด้านองค์ประกอบที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ อย่างเช่น การเปิดทำการสำหรับธุรกิจ ที่พิจารณาจาก 5 ปัจจัย คือ ระบบราชการ ต้นทุนการผลิต การทุจริต สภาพแวดล้อมทางภาษี และ แนวปฏิบัติของรัฐบาลที่โปร่งใส พบว่า อันดับ 1 ยังคงเป็นสิงคโปร์ และอยู่ในอันดับ 7 ของโลก , อันดับ 2 ไทย และอยู่ในอันดับ 9 ของโลก , อันดับ 3 มาเลเซีย และอยู่ในอันดับ 12 ของโลก , อันดับ 4 อินโดนีเซีย และอยู่ในอันดับ 19 ของโลก , อันดับ 5 ฟิลิปปินส์ และอยู่ในอันดับ 21 ของโลก และอันดับ 6 เวียดนาม และอยู่ในอันดับ 31 ของโลก

 

จากการจัดอันดับดังกล่าว ประเทศสิงคโปร์ ยังครองอยู่ในอันดับ 1 ทุกรายการ และเป็นอันดับต้นของโลก รองลงมาจะเป็นประเทศไทย และมาเลเซีย ที่มีอันดับอยู่ใกล้เคียงกันมาก ในขณะที่ประเทศเวียดนามที่หลายคนแสดงความกังวลว่าจะเข้ามาเป็นคู่แข่งแย่งการลงทุนจากไทย พบว่าจากการจัดอันดับของต่างชาติ ยังมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนรั้งท้ายตาราง อยู่ในอันดับ 5 – 6 ของอาเซียน ซึ่งแม้ว่าเวียดนามจะมีความได้เปรียบไทยอยู่หลายด้าน ทั้งในเรื่องค่าจ้างแรงงาน และเป็นตลาดรองรับสินค้าขนาดใหญ่ แต่ไทยก็ได้เร่งพัฒนาปรับตัว เพื่อให้คงความเป็นผู้นำของอาเซียนในทุกด้าน

 

นอกจากนี้ จากผลวิจัยของ CEOWORLD magazine ได้จัดอันดับ ประเทศที่ดีที่สุดในโลกในการลงทุนหรือทำธุรกิจในปี 2567 โดยได้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 11 ประการ ได้แก่ ระดับการทุจริต เสรีภาพส่วนบุคคล การค้า และการเงิน คุณภาพของแรงงาน มาตรการคุ้มครองนักลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายภาษี ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพของระบบราชการ และความพร้อมทางเทคโนโลยี ด้วยการประเมินประเด็นเหล่านี้อย่างครอบคลุม โดยตั้งเป้าที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าแก่นักลงทุนและผู้ประกอบการเพื่อใช้เป็นแนวทางกระบวนการตัดสินใจ

 

โดยจากการสำรวจทั้งหมด 199 ประเทศทั้งโลก ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะกลุ่มอาเซียน  พบว่า อันดับ 1 สิงคโปร์ และอันดับ 1 ของโลก , อันดับ 2  อินโดนีเซีย และอันดับ 5 ของโลก , อันดับ 3 ฟิลิปปินส์ และอันดับ 9 ของโลก , อันดับ 4 มาเลเซีย และอันดับ 11 ของโลก , อันดับ 5 ไทย และอันดับ 12 ของโลก , อันดับ 6 เวียดนาม และอันดับ 26 ของโลก , อันดับ 7 เมียนมา และอันดับ 113 ของโลก , อันดับ 8 กัมพูชา และอันดับ 130 ของโลก , อันดับ 9 บรูไน และอันดับ 152 ของโลก และอันดับ 10 ลาว และอันดับ 156 ของโลก

 

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับ และคะแนนที่ได้ จะพบว่าประเทศหลักของอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน คือ ติด 1 ใน 12 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่สูงมาก ในขณะที่เวียดนามตามมาห่าง ๆ ในอันดับที่ 26 แล้วในกลุ่มอาเซียนที่เหลือก็หล่นไปอยู่ในอันดับที่ 113 – 156 ของโลก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุน และการดำเนินธุรกิจสูง และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

 

ที่มา : https://www.usnews.com/news/best-countries/best-countries-to-invest-in

https://ceoworld.biz/2024/04/09/ranked-worlds-best-countries-to-invest-in-or-do-business-for-2024/

สื่อต่างชาติยกประเทศไทยอันดับ 28

ประเทศที่มองไปสู่อนาคตดีที่สุดในโลก

 

แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการจัดอันดับในด้านต่าง ๆ มากนัก แต่ในภาพรวมประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มประเทศชั้นนำ และหลายครั้งก็อยู่ในอันดับเหนือกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ เช่น ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 ในรายงานประเทศที่ดีที่สุดของ US News & World Report ประจำปี 2023 จาก 85 ประเทศทั่วโลก อยู่ในอันดับที่ 2 ของประเทศที่น่าประทับใจในการเริ่มต้นธุรกิจ และอันดับที่ 18 ในประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการเกษียณอายุที่สะดวกสบาย  เป็นต้น

 

ในด้านมรดกทางวัฒนธรรม อยู่ในอันดับ 9 ของโลก มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ จัดอันดับไทยดีที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก ด้านความมั่นคงด้านสุขภาพที่แข็งแกร่งที่สุด และ CEOWORLD ได้จัดอันดับการดูแลสุขภาพของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก

 

โดย ล่าสุดในการสำรวจของ US News & World Report ประจำปี 2566 ได้จัดอันดับประเทศที่มองไปข้างหน้ามาที่สุดในโลก หรือประเทศที่มีแผนในการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่โลกในอนาคตที่ชัดเจน ซึ่ง US News & World Report ได้ให้ความเห็นถึงความสำคัญในหัวข้อนี้ว่า  ในขณะที่มนุษยชาติต้องต่อสู้กับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามด้านสาธารณสุข และวิกฤตการณ์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ผู้นำระดับโลกจะต้องมุ่งเน้นไปที่งานที่มีอยู่และในอนาคตไปพร้อมๆ กัน และบางประเทศก็ถือว่ามีความรอบคอบมากกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำประเทศให้อยู่รอดต่อไปในโลกอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งนี้ การจัดอันดับประเทศ ที่มองไปข้างหน้ามากที่สุดประจำปี 2566 โดยมาจาก การสำรวจความคิดเห็นของผู้คนมากกว่า 17,000 คนทั่วโลก โดยพิจารณาจากวิธีที่ผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 4,600 รายจัดอยู่ในประเภท “ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ” โดยจะพิจารณาคุณสมบัติที่ใน 5 ประการ ได้แก่ระบบราชการที่มีพลวัต , ศักยภาพของผู้ประกอบการ , ความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

 

สำหรับ ในปี 2566 ได้จัดอันดับ 85 ประเทศ โดยประเทศที่มีการมองไปที่อนาคตข้างหน้ามาที่สุดประจำปี 2566 ได้แก่ อันดับ 1 คือ สหรัฐ อันดับ 2 สิงคโปร์ อันดับ 3 เกาหลีใต้ อันดับ 4 ญี่ปุ่น อันดับ 5 จีน อันดับ 6 เยอรมัน อันดับ 7 สวีเดน อันดับ 8 อังกฤษ อันดับ 9 สวิตเซอร์แลนด์ และอันดับ 10 แคนาดา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าใน 5 อันดับแรก เป็นประเทศในเอเชียถึง 4 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าประเทศในเอเชียมีความตื่นตัวในการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตมากที่สุด

ในส่วนของอาเซียน ประเทศที่มีอันดับดีที่สุด คือ สิงคโปร์ ที่อยู่ในอันดับ 2 ของโลก ลดลง 1 อันดับจากปีก่อน ตามมาด้วยไทย อันดับ 28 ของโลก เท่ากับปีก่อน ,  มาเลเซีย อันดับ 31 ของโลก เท่ากับปีก่อน , เวียดนาม อันดับ 34 ของโลก เพิ่มขึ้น 11 อันดับจากปีก่อน , อินโดนีเซียน อันดับ 38 ของโลก ลดลง 4 อันดับจากปีก่อน , ฟิลิปปินส์ อันดับ 62 ของโลก ลดลง 13 อันดับจากปีก่อน , กัมพูชา อันดับ 73 ของโลก ลดลง 8 อันดับจากปีก่อน และเมียนมา อันดับ 85 ของโลก ลดลง 2 อันดับจากปีก่อน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีคะแนนในด้านการมองไปข้างหน้าในระดับที่ดี แต่จากปัจจัยด้านการเมืองในปัจจุบัน ที่มีนโยบายมุ่งแต่คะแนนเสียงในระยะสั้น เช่น การแจกเงิน 5 แสนล้านบาท จนอาจทำให้ประเทศต้องขาดแคลนงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่ควรจะเป็น และหลุดออกจากแผนพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ส่งผลให้สูญเสียศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวได้ในอนาคต

 

ที่มา :  https://www.usnews.com/news/best-countries/most-forward-thinking-countries

สตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่เศรษฐกิจไทย

อีวี – อิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ – ชีวภาพ

 

จากกระแสความกังวลในด้านการส่งออกของไทย ที่ยังคงจมอยู่กับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีแบบเก่า ที่แข่งขันได้ยากยิ่งในปัจจุบัน และมีมูลค่าต่ำลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้

 

อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าวก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง และก็มีบางส่วนที่ไม่ถูกต้อง เพราะภาครัฐได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมานาน จึงได้เร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย ไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ตลาดมีความต้องการสูง และเป็นอุตสาหกรรมที่ไฮเทคโนโลยี ซึ่งนอกจากการส่งเสริมการปรับตัวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 แล้ว แนวนโยบายหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ มาตรการดึงดูด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนภายในประเทศ ซึ่งได้ผลักดันมาตั้งแต่ปี 2560

 

โดยแบ่งออกเป็น 5 อุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีฐานการผลิตที่เข้มแข็งให้ยกระดับไปสู่เทคโนโลยีใหม่ และเทคโนโลยีต้นน้ำ  ได้แก่ 1. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขยายไปสู่อิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ 2. ยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งรวมไปถึงรถยนต์อีวีทุกประเภท 3. เกษตรและแปรรูปอาหาร ที่รวมไปถึงอาหารแห่งอนาคต และฟังชั่นนัลฟู้ด 4. ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 5. การท่องเที่ยว  ที่ขยายไปสู่การท่องเที่ยวรายได้สูง

 

ส่วนอีก 5 อุตสาหกรรมใหม่ คือ 1. ดิจิทัล 2. การแพทย์ 3. เทคโนโลยีชีวภาพ 4. ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 5. อากาศยาน โดยทั้ง 10 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ ตั้งแต่ปี 2562 – 2566 มียอดเงินลงทุนรวมกว่า 1.94 ล้านล้านบาท และอุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยครั้งใหญ่ไปสู่การผลิตยุคใหม่ในสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง และมีมูลค่าสูง

 

จากการลงทุนที่กล่าวมานี้ ในด้านอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี อาหารแห่งอนาคต และเทคโนโลยีชีวภาพ มีความโดดเด่นมากที่สุด และมียอดการลงทุนสูงอย่างต่อเนื่อง และจะเข้ามาเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของไทยในอนาคต โดยเฉพาะรถยนต์อีวี ที่ไทยสามารถดึงค่ายรถยนต์อีวีชั้นนำทั่วโลกเข้ามาได้มากที่สุด และกำลังจะเข้ามาอีกหลายราย รวมทั้งการผลิตแบตเตอรี่อีวีต้นน้ำ เช่น CATL ที่เป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่อีวีระดับโลก

 

ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่อุดหนุนทั้งภาคการผลิตครบวงจรไปจนถึงชิ้นส่วนหลักที่มีความสำคัญ และการอุดหนุนตลาดภายในประเทศ ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงรถยนต์อีวีได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ไทยเป็นฐานการผลิต และตลาดรถยนต์อีวีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน  คาดว่าจะเห็นยอดส่งออกได้ชัดเจนในช่วงปี 2568 และอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี ยังเป็นส่วนสำคัญในการดึงซัพพลายเชนการผลิตชิป และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยอีกด้วย

 

ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมาได้มีผู้ผลิตชิปต้นน้ำ และพีซีบี หลายรายได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิต และยังมีอีกหลายรายที่เตรียมจะเข้ามา โดยหลังจากนี้จะทยอยสร้างโรงงานเสร็จและผลิตชิปออกสู่ตลาด และล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ก็ประกาศสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิปสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย

 

ในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเทค ก็ได้มีหลายแบรนด์ของต่างชาติเข้ามาลงทุนใหม่ และรายที่อยู่ในไทยอยู่แล้วก็ขยายการลงทุนเพิ่ม ทำให้คาดว่าในอุตสาหกรรมผลิตชิปต้นน้ำ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะเติบโตขึ้นมากในอนาคต แต่ในระยะสั้น ไทยยังคงตามหลังประเทศมาเลเซีย และเวียดนามอยู่ เพราะ 2 ประเทศนี้มีต่างชาติรายใหญ่เข้ามาลงทุนอย่างยาวนาน โดยเฉพาะซัมซุง ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามในหลากหลายผลิตภัณฑ์

 

ในขณะนี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ไทยก็มีความโดดเด่นในด้านการผลิตเม็ด และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพสูงมาก ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพอันดับ 2 ของโลก โดยในอนาคตมั่นใจว่าความต้องการพลาสติกชีวภาพของโลกจะเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากกระแสการปกป้องสิ่งแวดล้อม และการลดภาวะโลกร้อน ในด้านอุตสาหกรรมชีวภาพชั้นสูงรวมถึงยาและวัคซีนชีวภาพ ก็เริ่มมีการลงทุนในไทยหลายรายทั้งของนักลงทุนไทย และต่างชาติ และในช่วงโควิด 19 ก็เป็นสปริงบอร์ดสำคัญที่ทำให้วัคซีน และยาชีวภาพที่วิจัย และผลิตในไทยเติบโตขึ้นเร็วมาก

 

ด้าน อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ก็จะเริ่มเข้ามามีส่วนสำคัญในการนำรายได้เช้าสู่ประเทศ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากฐานการผลิตอาหารแปรรูปที่เข้มแข็ง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีเทคสตาร์ทอัพต่างชาตินำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยตั้งโรงงานผลิตเนื้อเทียมจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ในระดับโรงงานเป็นแห่งแรกในอาเซียน และยังมีเทคโนโลยีการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารผู้ป่วย อาหารเสริม อีกมากมายที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

สำหรับอาวุธสำคัญในการดึงดูดการลงทุน ก็คือ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ตั้งต้นกองทุนนี้มีวงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้ใช้ไปหมดแล้วและได้รับอนุมัติวงเงินก้อนใหม่ 15,000 ล้าน โดยกองทุนนี้จะใช้ในการดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ และเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งจะให้เงินสนับสนุนในการสร้างโรงงาน 30 – 50% แล้วแต่การเจรจา การอุดหนุนในการฝึกอบรมเสริมทักษะแรงงานชั้นสูง และการวิจัยพัฒนา ซึ่งผลที่ได้จากการอุดหนุนการลงทุนจะเปลี่ยนกลับมาในรูปแบบภาษีอากร การส่งออก การเพิ่มทักษะแรงงานชั้นสูง และที่สำคัญยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศชั้นนำให้เข้ามาอยู่ในเมืองไทย

 

ในขณะนี้เงินสนับสนุนกองทุนฯ จะขออนุมัติใหม่เป็นครั้ง ๆ หากเงินกองทุนหมด แต่โดยส่วนตัวมองว่ากองทุนนี้ควรจะมีเม็ดเงินมากกว่านี้ เพราะเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป้าหมายเข้ามาตั้งในไทยในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ในอาเซียนยังไม่มี แต่ในประเทศชั้นนำอื่น ๆ ก็มีกองทุนในลักษณะนี้ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐ หากไทยมีขนาดกองทุนฯที่เพียงพอและต่อเนื่อง จะเป็นแต้มต่อสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เพื่อพลิกฟื้นโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมชั้นสูง

 

นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องเร่งขยายการเจรจาเขตการค้าเสรี หรือการทำข้อตกลงเอฟทีเอ กับประเทศชั้นนำ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้โรงงานที่เข้ามาตั้งในไทยได้สิทธิประโยชน์การส่งออกเทียบเท่ากับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม ทั้งนี้หากไทยยังตามหลังคู่แข่งในด้านเอฟทีเอ ก็จะส่งผลต่อการดึงดูดการลงทุน เพราะภาษีที่ต้องจ่ายสูงขึ้นเพียง 10% ก็ไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกบางอุตสาหกรรมที่ไทยสูญเสียศักยภาพการแข่งขันไปแล้ว และฟื้นฟูให้กลับมาใหม่ได้ยาก คือ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม เรื่องจากไทยเสียเปรียบคู่แข่งในเรื่องค่าแรงงานอยู่มาก และอุตสาหกรรมเหล่านี้นำเครื่องจักรอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เข้ามาทดแทนได้ยาก ดังนั้นไทยอาจจะเหลืออุตสาหกรรมสิ่งทอเพียงบางด้านเท่านั้น เช่น สิ่งทอทางการแพทย์ และสิ่งทอที่มีฟังชั้นการใช้งานแบบพิเศษ

 

ในขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กของไทย ก็แข่งขันได้ยาก เพราะสินค้าเหล็กจากประเทศจีนมีราคาถูกมากจนไม่สามารถผลิตแข่งขันได้ ดังนั้นโรงงานเหล็กที่มีอยู่จึงเพียงแต่ประคองตัวผลิตป้อนให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล็ก ยังคงเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของทุกอุตสาหกรรม ดังนั้นภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดโรงถลุงเหล็กภายในประเทศ เพื่อผสมเหล็กสูตรพิเศษ เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ต้องการเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งหากไทยผลิตได้ก็จะสร้างความมั่นคงด้านการผลิต และเร่งให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้

 

จากมาตรการที่กล่าวมาขั้นต้น และความสำเร็จที่เกิดขึ้น พอให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย ที่ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งคาดว่าหากมาตรการดึงดูดการลงทุน และการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยังเดินต่อไปได้ตามแผน อุตสาหกรรมไทยก็จะพลิกโฉมกลายเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทยในอนาคต