Movement

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. จัดกิจกรรม SACIT Craft Power 2025 : Symposium โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่ในวงการศิลปหัตถกรรม และการออกแบบระดับโลก เพื่อถ่ายทอดทิศทางหรือแนวโน้มงานศิลปหัตถกรรมไทยและองค์ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปหัตถกรรม และการพัฒนางานคราฟต์เชิงพาณิชย์ ร่วมผลักดันงานคราฟต์ของไทยให้ก้าวไกลไปสู่ตลาดโลก

นางพรรณวิลาส แพพ่วง รักษาการแทนผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. เปิดเผยว่า การกำหนดทิศทางหรือแนวโน้มงานศิลปหัตถกรรมไทยให้ชัดเจน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ดังนั้น สศท. จึงได้จัดกิจกรรม SACIT Craft Power 2025 : Symposium ซึ่งในครั้งนี้ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ จากหลากหลายวงการ มาร่วมถ่ายทอดความรู้ แลกเปลี่ยนแนวคิด และมุมมอง เกี่ยวกับงานศิลปหัตถกรรม และการพัฒนางานคราฟต์เชิงพาณิชย์ กลยุทธ์ทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเทรนด์วิถีชีวิตของคนปัจจุบัน

นางพรรณวิลาส แพพ่วง รักษาการแทนผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท.

โดย Speaker มาร่วมให้ความรู้ใน 3 หัวข้อหลัก ซึ่งล้วนเป็นหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้เข้าใจถึง SACIT Craft Power 2025 อย่างชัดเจนได้แก่ 1. “ศิลปหัตถกรรมไทย สู่สากล” จากรากเหง้าสู่สากล พัฒนางานศิลปหัตถกรรมสู่เวทีระดับโลก Speaker โดย คุณศรัณญ อยู่คงดี ผู้ก่อตั้ง ‘SARRAN’ แบรนด์เครื่องประดับที่นำเสน่ห์หญิงไทยโบราณได้อย่างเฉียบคม รวมทั้งยังได้รับรางวัลนักออกแบบแห่งปี สาขา Jewelry Design ปี 2021 และรางวัล Craft Design Award จาก World Crafts Council แห่ง UNESCO และ Mr. Jean Charles Chappuis ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริษัท Currey & Company ผู้นำเข้างานศิลปะ และของแต่งบ้านจากเอเชียสู่ตลาดยุโรป

2. “ถอดรหัสศิลปหัตถกรรม สู่งานศิลปะร่วมสมัย” การค้นหาอัตลักษณ์แห่งชนชาติ ต่อยอดสู่ศิลปหัตถกรรมร่วมสมัย Speaker โดย คุณนักรบ มูลมานัส ซึ่งเป็นศิลปิน นักสร้างสรรค์ด้านภาพ ที่ทำงานโดยใช้สื่อตัดแปะเป็นหลัก โดยการนำชิ้นส่วนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมภาพในท้องถิ่น และความแปลกใหม่มาวางเคียงกัน เป็นการผสมผสานกับสุนทรียศาสตร์ร่วมสมัย ซึ่งได้รับรางวัลจาก Cité Internationale des Arts ในปารีส และเป็นหนึ่งในศิลปินของ Bangkok Art Biennale และ Mr. Haoyang Sun ทูตศิลปะและการออกแบบระดับนานาชาติ, ภัณฑารักษ์โครงการเครื่องประดับระดับนานาชาติ

3. “โลกตื่นตัวเรื่อง Sustainability ไทยตื่นตัวเรื่อง Soft Power” ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนศิลปหัตถกรรมด้วยพลังแห่งความยั่งยืน Speaker โดย รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต อาจารย์ทางด้านนวัตกรรมอาคาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบด้านสิ่งแวดล้อม (Eco-Design) และ Mr. Martin Venzky-Stalling ที่ปรึกษาอาวุโส อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้เปิดช่องทางการสั่งซื้องานหัตถกรรมภาคเหนืออย่าง salah made ช่วยก่อตั้งรางวัล CDA (Creative Design Awards) สำหรับงานดีไซน์ภาคเหนือ

ซึ่งเป้าหมายในครั้งนี้ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. ตระหนักถึงกลไกแห่งการขับเคลื่อนศิลปหัตถกรรมไทยให้เกิดความยั่งยืน สนับสนุนกลยุทธ์และระบบการบริหารจัดการที่สร้างสรรค์ อันประกอบด้วย กลไกการค้นหา กลไกการรักษา และกลไกการพัฒนา เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ตอบรับกระแสตลาดไทยและตลาดโลก ต่อยอดองค์ความรู้ในมุมใหม่ๆของวงการหัตถศิลป์ไทย ผลักดันงานศิลปหัตถกรรมให้เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน

ผู้สนใจงานในด้านศิลปหัตถกรรมไทย และแนวโน้มงานหัตถกรรมโลก ติดตามข้อมูลได้ผ่านทางหนังสือ SACIT Craft Power Book 2025 ในรูปแบบ E-book ได้ที่ https://www.sacit.or.th/th/detail/2024-06-20-16-40-45 หรือติดต่อขอรับหนังสือได้ที่ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม สำนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. โทร. 0-3536-7054-9 ต่อ 1712

ดร.ทรงสิน ธีระกุลพิศุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการจังหวัดสงขลา กล่าวเชิญชวนภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป ร่วมงาน Songkhla Medical & Wellness Tourism Expo งานการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพยอดนิยม จัดโดยจังหวัดสงขลา และงาน Healthy Living & Innovation Expo 2024 งานแสดงสินค้า บริการ และนวัตกรรมเพื่อคนรักสุขภาพ จัดโดย ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ร่วมกับ สถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และ สำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ จังหวัดสงขลา

ดร.ทรงสิน-ธีระกุลพิศุทธิ์

ภายในงานแบ่งเป็น 2 โซน ได้แก่ งาน Songkhla Medical & Wellness Tourism Expo – สุขกาย สุขใจ สุขสงขลา งานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพยอดนิยมจังหวัดสงขลา ที่ได้รวบรวมผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน ผู้ให้บริการนวด สปา คลินิกแพทย์แผนไทย และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่ให้บริการด้านส่งเสริมสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าและบริการด้านการดูแลสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารออร์แกนนิค และอีกมากมาย

สำหรับโซนงาน Healthy Living & Innovation Expo 2024 งานแสดงสินค้า บริการ และนวัตกรรมเพื่อคนรักสุขภาพได้รวบรวมสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนทุกวัยในปัจจุบัน รวมถึงโปรโมชั่นโปรแกรมตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลชั้นนำ การให้คำปรึกษาปัญหาปวดเมื่อยกับคลินิกกายภาพบำบัด คลินิกแพทย์แผนไทยและจีน , การตรวจเช็คสุขภาพหัวใจ , การจัดแสดงเครื่องมือเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจสุขภาพและความงาม และยังมีกิจกรรมมากมายทุกวัน อาทิ ซุมบ้าแดนซ์, ประกวดร้องเพลงสุนทราภรณ์, และการพูดคุยให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ

สำหรับการจัดงาน Songkhla Medical & Wellness Tourism Expo งานการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพยอดนิยม และงาน Healthy Living & Innovation Expo 2024 งานแสดงสินค้า บริการ และนวัตกรรมเพื่อคนรักสุขภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 8 กันยายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฯ ม.อ. หาดใหญ่ สอบถามโทร. 074 289 942 หรือ 097 347 3050

“ดีพร้อม” หนุนกาแฟ โกโก้ สุราพื้นบ้าน

สู่มาตรฐานสากล จัดงานใหญ่โชว์ศักยภาพ

 

“ดีพร้อม” หนุนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มชุมชน เร่งให้การส่งเสริม 3 กลุ่มหลัก กาแฟ , โกโก้ และสุราพื้นบ้าน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อยกระดับเข้าสู่มาตรฐานสากล และขยายไปสู่ตลาดในวงกว้าง พร้อมจัดงานใหญ่ “CRAFT DRINK BY DIPROM” ระดมสินค้าเครื่องดื่มชุมชนทั่วประเทศกว่า 120 ราย ร่วมจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูง

 

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มชุมชน เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมพื้นบ้านที่สำคัญของไทย ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นจำนวนมาก และยังช่วยส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตในท้องถิ่น จึงทำให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในแต่ละพื้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งหากนำมาพัฒนาต่อยอด ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นได้อีกมาก

 

ดังนั้น ดีพร้อม จึงได้ให้การส่งเสริมอย่างเต็มที่ โดยได้มุ่งเน้นในสินค้า 3 กลุ่มที่สำคัญ คือ 1. กาแฟ 2. โกโก้ และ3. สุราพื้นบ้าน โดยในส่วนของ กาแฟ ดีพร้อม ได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในต้นน้ำ จะมุ่งเน้นการสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกับเกษตรกร เพื่อพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยีเครื่องจักรการปลูก การเก็บเกี่ยว และการหมักเมล็ดโกโก้

 

กลางน้ำ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์โกโก้ เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี การยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ส่วนปลายน้ำ จะมุ่งเน้นการสนับสนุนการทำงานในรูปแบบคลัสเตอร์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานโกโก้ เพื่อรองรับการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ ด้วยการ Matching เกษตรกรหรือผู้ผลิตและผู้ค้าในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาระบบตลาด E-commerce พร้อมทั้งเชื่อมโยงการเข้าถึงแหล่งทุน และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

 

ส่วน โกโก้ จะมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยในส่วนของต้นน้ำจะมุ่งเน้นการ สนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกับเกษตรกร เพื่อพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยีเครื่องจักรการปลูก

การเก็บเกี่ยว และการหมักเมล็ดโกโก้ กลางน้ำ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตโกโก้

เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ส่วนปลายน้ำ จะเน้นการสนับสนุนการทำงานในรูปแบบคลัสเตอร์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานโกโก้ เพื่อรองรับการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ ด้วยการ

Matching เกษตรกรหรือผู้ผลิตและผู้ค้าในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาระบบ

ตลาด E-commerce พร้อมทั้งเชื่อมโยงการเข้าถึงแหล่งทุน และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

 

สำหรับ สุรา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสุราชุมชนตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยในต้นน้ำ จะมุ่งเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนามาตรฐาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการผลิตผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพและความปลอดภัย กลางน้ำจะมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของไทย ส่วนปลายน้ำ จะมุ่งเน้นใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลายและตรงกลุ่มเป้าหมาย” เพื่อทดสอบตลาดของผู้ประกอบการ ให้คนทั่วไปรู้จัก

 

ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลาย ดีพร้อม จึงได้จัดงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” หรือ ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในระหว่างวันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 โดยภายในงาน ได้นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชนด้านผลิตภัณฑ์ โกโก้ กาแฟ และสุราชุมชน นำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่เข้าชมงาน กว่า 120 ร้านค้า

 

นอกจากนี้ ยังได้กิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำทางธุรกิจ และการให้บริการสินเชื่อ รวมทั้งการประกวดแข่งขันเพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง ผลิตภัณฑ์โกโก้ และกาแฟ อาทิ การแข่งขัน Cocoarista DIPROM Contest ทำเครื่องดื่มจากโกโก้ในโจทย์ที่ท้าทาย เน้นความคิดสร้างสรรค์ โดดเด่นด้านการตกแต่ง และรสชาติ ชิงเงินรางวัลมากกว่า 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และการแข่งขัน Speed Latte Art DIPROM Contest ที่ประชันทั้งฝีมือและการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนด้วยกาแฟ ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ชิงเงินรางวัลมากกว่า 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และยังมีมินิคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง อาทิ sarah salora , อะตอม ชนกันต์ และคริส พีรวัส มาร่วมให้ความบันเทิงกับผู้ร่วมงาน

SACIT เปิดตัว Craft Power Book 2025

คู่มือยกระดับ เพิ่มมูลค่าศิลปหัตถกรรมไทยสู่ตลาดสากล

 

SACIT ระดมสมอง 9 กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปหัตถกรรม จัดทำ SACIT Craft Power Book 2025 เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมผลักดัน 8 ด้าน ยกระดับศิลปหัตถกรรมไทยให้ก้าวไกลไปในตลาดโลก และยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดัน soft power ของไทยให้ยกระดับสู่มาตรฐานสากล

 

นางพรรณวิลาส แพพ่วง รักษาการแทน ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT เปิดเผยว่า จากการที่ได้จัดงาน “SACIT Craft Power : แนวโน้มศิลปหัตถกรรมร่วมสมัย” โดยได้ระดมความคิดเห็นจากกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปหัตถกรรมในทุกด้าน รวม 9 ท่าน มาระดมสมองวิเคราะห์ถึงทิศทางแนวโน้มความต้องการของตลาดสินค้าศิลปหัตถกรรมในอนาคต และจัดทำ SACIT  Craft Power Book 2025 ให้เป็นคัมภีร์สำหรับผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาสินค้าศิลปหัตถกรรมให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก

 

ทั้งนี้ การกำหนดทิศทางหรือแนวโน้มงานศิลปหัตถกรรมไทยให้ชัดเจน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตงานหัตถกรรม กลยุทธ์ทางการตลาดและจัดจำหน่ายสินค้า รวมถึงสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค ที่ต้องอาศัยการวางแผนและสนับสนุนจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพและเป็นรูปธรรมในระยะยาว “SACIT จะนำข้อมูลที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบกิจการศิลปหัตถกรรมไทยทั่วประเทศ ใช้เป็นแนวทางนำไปปรับปรุงสินค้า เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มในอนาคต ซึ่งความรู้ที่ได้นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และต่อยอดศิลปหัตถกรรมไทยให้โดดเด่นในเวทีโลก” นางพรรณวิลาส กล่าว

 

จากข้อสรุปของการจัดทำ  SACIT Craft Power Book 2025  ได้แบ่งแนวทางที่สำคัญออกเป็น 8 ด้าน คือ 1. เผยแพร่องค์ความรู้จากผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรม เช่น นักวิชาการ รวบรวมความรู้จากครูช่าง แล้วนำมาถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ รวมถึงถ่ายทอดทักษะที่หายไปให้ช่างหรือคนรุ่นใหม่ได้พัฒนาฝีมือเพื่อดำเนินธุรกิจนั้นๆ อย่างยั่งยืน 2. เลือกใช้ภาพลักษณ์ที่เข้าใจง่ายมาเป็นตัวแทนในการสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ และชาวต่างชาติ 3. ส่งเสริมคุณค่าในงานศิลปหัตถกรรมเพื่อให้เกิดเป็นของที่มีมูลค่า     4. สร้างวัฒนธรรมการส่งต่อสินค้าศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่าทางจิตใจจากรุ่นสู่รุ่น  5. สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในทางการผลิต เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องวัสดุไปจนถึงกระบวนการ และแลกเปลี่ยนความเห็น  ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ผลิตเพื่อสร้างสรรค์สินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาด

 

6. เน้นการสร้างสังคมผู้รักงานศิลปหัตถกรรม โดยปัจจุบัน SACIT มีการจัดประชุมเครือข่ายสมาชิกผู้ประกอบการจากภูมิภาคต่างๆ ให้เกิดกิจกรรมการแบ่งปันองค์ความรู้และศักยภาพของการผลิตสินค้า 7. จัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในพื้นที่ ชุมชน ให้ทดลองลงมือทำางานศิลปหัตถกรรมด้วยตนเอง เพื่อให้เข้าใจกระบวนการผลิตจนเกิดเป็นความประทับใจจนตัดสินใจซื้อสินค้า และท้ายที่สุดเกิดการส่งต่อเรื่องราวสู่สังคมภายนอก 8. ส่งเสริมให้ผู้ผลิตเป็นผู้สร้าง – ผู้ใช้ และเป็นตัวแทนแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการออกแบบรูปลักษณ์ใหม่ให้ทันสมัยผสานกับวิธีการผลิตแบบเดิม จะช่วยผลักดันให้งานศิลปหัตถกรรมเป็นที่ยอมรับว่าใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง และเข้าถึงทุกคนได้

 

ทั้งนี้ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่ได้จากการจัดทำ SACIT Craft Power Book 2025 ในครั้งนี้ SACIT ได้สร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้กระบวนการผลิตงานศิลปหัตถกรรมที่ต้องใช้ความประณีตและความทุ่มเท ตั้งแต่กระบวนการคิดไปจนถึงการสร้างสรรค์ ผ่านเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานของครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม และผู้ประกอบการงานศิลปหัตถกรรมไทย เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและความรู้สึกหวงแหนในภูมิปัญญาที่คนรุ่นก่อนได้สั่งสมมา นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดกลุ่ม เครือข่ายหรือศูนย์กลางงานหัตถกรรมที่รวมกลุ่มช่างฝีมือไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิด การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่เลือนหายตามกาลเวลา และเกิดความสัมพันธ์ของแวดวงช่างฝีมือ

 

โดย การจัดทำ SACIT Craft Power Book 2025 ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) มีพันธกิจที่เกี่ยวเนื่อง คือ การสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ บริหารจัดการวัฒนธรรม รวมถึงจัดทำฐานข้อมูล เกี่ยวกับครูศิลปหัตถกรรมไทย ผู้ประกอบการ บุคลากร และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับศิลปหัตถกรรมไทย โดยมีเป้าหมายให้จำนวนผู้ประกอบการได้รับการพัฒนายกระดับศักยภาพในการผลิต รวมถึงสร้างโอกาสทางการตลาด โดยองค์ความรู้เหล่านี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันศิลปหัตถกรรมไทยให้ก้าวไกลไปสู่ตลาดโลก และเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด soft power ที่มีอิทธิพลในระดับสากลอีกด้วย

 

สำหรับผู้ที่สนใจเนื้อหาแนวโน้มงานหัตถกรรมฉบับสมบูรณ์ ติดต่อขอรับหนังสือได้ที่ SACIT Craft Power Book 2025 ได้ที่ สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์และศักยภาพ โทร. 0-3536-7054-9 ต่อ 1385 หรืออ่านในรูปแบบ E-book ได้ที่ https://www.sacit.or.th/th/detail/2024-06-20-16-40-45

DIPROM ผนึก 20 หน่วยงาน

ดันเศรษฐกิจโตกว่า 2 หมื่นล้าน

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เดินหน้ากลยุทธ์ขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ กว่า 20 หน่วยงาน เพื่อต่อยอดครอบคลุมทุกมิติอย่างครบวงจร คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 2 หมื่นล้านบาท

 

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้านโยบาย “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ในกลยุทธ์ปรับเพิ่มการเข้าถึงโอกาสผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) โดยเร่งเดินหน้าสร้างความร่วมมือและบูรณาการกับองค์กรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยี การส่งเสริมการลงทุน การเจรจาจับคู่ธุรกิจ และการร่วมกันดำเนินโครงการ และกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ

 

ซึ่งในปีนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผ่านโครงการ “ติดปีกธุรกิจ พิชิตโอกาส เชื่อมตลาด สู่ความสำเร็จ” เพื่อเสริมแกร่งชุมชน-วิสาหกิจไทย ยกระดับสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ สนับสนุนสิทธิประโยชน์ส่วนลดพิเศษในการขนและขายสินค้าชุมชนไทยผ่านระบบออนไลน์ และออฟไลน์ ณ ที่ทำไปรษณีย์ไทยและเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศกว่า 50,000 แห่ง

 

2) สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ผ่านโครงการ“ติดปีกเกษตรกร ด้วยเกษตรอุตสาหกรรม” กับ เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพการแปรรูป เพิ่มผลิตภาพให้กับพืชเศรษฐกิจและผลไม้ พร้อมยกระดับสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้โดยเน้น โกโก้ ไผ่ สมุนไพร ชีวมวล ในระยะแรก และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตรมาใช้เป็นพลังงานทดแทน

 

และอีก 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารเพื่อการ ส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ผ่านโครงการ “ติดปีก เอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มีดีพร้อมค้ำประกันให้” เพื่อให้ผู้ประกอบการยื่นเรื่องผ่าน ดีพร้อมเพื่อพิจารณาการค้ำประกันและส่งต่อให้กับทางสถาบัน โดยจะพิจารณาการค้ำประกันและสามารถแจ้งผลเบื้องต้น

 

นายภาสกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ตั้งเป้าจะร่วมมือกับพันธมิตรภายในประเทศอีก 7 หน่วยงาน อาทิ 1) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : GISTDA ด้วยการเพิ่มโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ 2) กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมมือในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และเสริมแกร่งด้านตลาด 3) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมมือในด้านการเสริมแกร่งด้านตลาด สร้างแบรนด์ (Storytelling)

 

4) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมมือในด้านทุนสนับสนุนเครื่องจักร เทคโนโลยี พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ สร้างแบรนด์ (Storytelling) และช่องทางประชาสัมพันธ์ 5) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พัฒนาโมเดลนำร่องในการสนับสนุนและขับเคลื่อนงานวิจัย เพื่อสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบองค์รวม 6) สภาหัตถศิลป์โลก ร่วมมือในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ เสริมแกร่งด้านตลาด และ 7) เกษรอัมรินทร์ เพื่อนำสินค้าของผู้ประกอบการในจำหน่ายในพื้นที่ พร้อมเร่งขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต

 

ในส่วนของต่างประเทศนั้น ดีพร้อมได้เตรียมขยายความร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศญี่ปุ่นอีก 4 หน่วยงานในด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) เพื่อมุ่งเน้นการอนุรักษ์พลังงานด้วยการให้ทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอนุรักษ์พลังงานให้กับบริษัทต่าง ๆ พร้อมการพัฒนาการใช้เทคโนโลยี AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Robot) และพลังงานใหม่ ๆ รวมถึงทำความร่วมมือกับจังหวัดในประเทศญี่ปุ่นอีก 3 จังหวัด คือ จังหวัดโทคุชิมะ จังหวัดโออิตะ และจังหวัดนางาซากิ

 

โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ทำความร่วมมือกับ 1 หน่วยงาน ด้วยการต่อยอดความร่วมมือ (Framework Agreement) ชูนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตกับ จังหวัดมิเอะ ในด้านการพัฒนาบุคลากร และเพิ่มสาขาความร่วมมือให้ครอบคลุมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้ความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบันทั้งในระดับรัฐบาลกลาง 6 แห่ง รัฐบาลท้องถิ่น 23 แห่ง และภาคเอกชน 3 แห่ง รวม 31 แห่ง ผ่านความร่วมมือรูปแบบต่าง ๆ อาทิ บันทึกความเข้าใจ (MOU) บันทึกความร่วมมือ (MOC) และกรอบการทำงาน (Framework) เพื่อส่งเสริมและแลกเปลี่ยนความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกัน ทั้งในด้านองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี ตลอดจนบุคลากร รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายโอกาสธุรกิจสู่ระดับโลก

 

“ปัจจุบันหน่วยงานที่สนับสนุนและช่วยเอสเอ็มอีมีอยู่มาก โดยดีพร้อมต้องการสร้างจุดเด่นและความแตกต่าง จึงเร่งผสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในรูปแบบของ DIPROM CONNECTION เพื่อต่อยอดการบริการของ ดีพร้อม ตามกรอบงบประมาณที่ได้รับ ให้สามารถครอบคลุมได้ในหลายมิติอย่างครบวงจร และสานแนวคิด คิดถึงธุรกิจ คิดถึงดีพร้อม”

 

ทั้งนี้ โลกในยุคปัจจุบันดีพร้อมไม่สามารถขับเคลื่อนการทำงานเพียงผู้เดียวได้ ดังนั้น ในปี 2567 ดีพร้อมตั้งเป้าบูรณาการความร่วมมือผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศได้กว่า 20 หน่วยงาน อีกทั้ง ยังมีแผนที่ขยายเครือข่ายความร่วมมือเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต เพื่อทำให้การบริการของดีพร้อมมีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ และต่อยอดการให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรมให้ครอบคลุมทุกมิติ สร้างความแตกต่างให้เอสเอ็มอีนึกถึงดีพร้อมเป็นลำดับแรก ซึ่งคาดจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเบื้องต้นกว่า 2 หมื่นล้านบาท นายภาสกร กล่าว

เอ็น.ซี.ซี.ฯ เตรียมจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 มหกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการมีเริ่มต้นธุรกิจ และต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์โดยเฉพาะ พาเหรดโรงงานรับช่วงผลิต(OEM) หลากหลายประเภทสินค้า พร้อมบริการ e-Commerce แบบครบวงจร เปิดทางเพื่อคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีแบรนด์ของเป็นตัวเอง ปลุกไอเดียผู้ประกอบการในเวทีขยายคู่ค้าเจรจาจับคู่ธุรกิจกับพาร์ทเนอร์รายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ พบเสวนาจากเหล่ากูรูคนดังในวงการอัดแน่นตลอดทั้ง 3 วันเต็ม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 19.00 น. ในวันที่1-3 สิงหาคม 2024 ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพมหานคร

นายสุรพล อุทินทุ ประธานเจ้าที่บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดเผยว่า จากความพร้อมของภาคการผลิตของไทย และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล จึงเอื้อต่อผู้ประกอบการหน้าใหม่ในการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อเจาะตลาดที่มีความหลากหลาย และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ดังนั้น เอ็น.ซี.ซี. จึงได้จัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมที่ครบวงจรที่สุดสำหรับธุรกิจ OEM และ e-Commerce ในประเทศไทย

โดยการจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ในครั้งนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ซึ่งภายในงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ OEM Manufacturer Expo และ e-BIZ Expo สำหรับงาน OEM Manufacturer Expo จะเน้นการแสดงสินค้าจากผู้ผลิตในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิค สินค้าอุปโภคบริโภค แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมไปถึง อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงและอาหารแห่งโลกอนาคตที่กำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบัน โดยผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล่านี้ พร้อมที่จะช่วยผู้ประกอบการหน้าใหม่ในการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน และตรงกับความต้องการ จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการผลิตที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคนิคในการผลิตมากมายทำให้เริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย โดยผู้ประกอบการหน้าใหม่เพียงแต่มุ่งไปที่การสร้างแบรนด์ การวางแผนการตลาด การบริหารจัดการ และการจัดส่งสินค้า

ในส่วนของ e-BIZ Expo เป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่สนใจในการทำธุรกิจออนไลน์ งานนี้จะเน้นการแสดงบริการดิจิทัลและโซลูชั่นทางธุรกิจ เช่น การตลาดดิจิทัล โซลูชั่นทางธุรกิจ (SAP, ERP, MRP) FinTech โลจิสติกส์และการจัดการ ระบบความปลอดภัยการชำระเงินออนไลน์ คลาวด์ AI IoT และ 5G ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประสบการณ์และโอกาสในการพบปะกับผู้ให้บริการที่สามารถสนับสนุนการเติบโตในยุคดิจิทัล

นอกจากนี้ งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ยังเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงทรัพยากรและเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนาธุรกิจ ทั้งการเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ การพบปะกับผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรทางธุรกิจ และการได้รับคำแนะนำในการปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ โดยภายในงานนอกจากการแสดงสินค้าแล้ว ยังมีการจัดการเสวนาเกี่ยวกับวิธีการขยายธุรกิจ การหาตลาดใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งผู้เข้าร่วมงานยังสามารถพบปะกับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การร่วมทุนและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“การเข้าร่วมงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 จะเป็นโอกาสพิเศษสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจ การตลาดและการโปรโมทสินค้า การเรียนรู้และการพัฒนา รวมถึงการเข้าถึงตลาดใหม่ งานนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบกับผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ที่สามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการพัฒนาธุรกิจ ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับ เสวนาและเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับการตลาดดิจิทัล การจัดการธุรกิจ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้” นายสุรพล กล่าว

ทั้งนี้ ภายในงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ยังได้จัดกิจกรรมWorkshop โดย Kovic Kate International (Thailand) Co., Ltd. ในหัวข้อ Cosmetic Product Workshop: “Body Scrub ออกแบบสครับขัดผิวของคุณเอง” โดยผู้เข้าร่วม จะได้สร้างและผสมกลิ่นนํ้าหอมที่ตนเองชื่นชอบโดยปราศจาก ซิลิโคน แอลกออฮอร์ และพาราเบน ซึ่งมีสรรพคุณ ผลัดเซลล์ผิวเก่าให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน ทําให้ผิวดูมีสุขภาพดีมาก ผิวอิ่มนํ้า รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีพร้อมปลอบประโลมผิวหลังสัมผัสแสงแดด ให้ผิวแลดูเนียนกระชับและดูอิ่มนํ้า ช่วยลดการแพ้ลดการระคายเคือง โดยจะยับยั้งการอักเสบ ทําให้ผิวแข็งแรง เหมาะสําหรับผิวแพ้ง่าย

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Herbal Product Workshop: “Jelly Aroma Balm ผสมผสานกลิ่นของคุณเอง” ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้สร้างและผสมกลิ่นที่ตนเองชื่นชอบจากนํ้ามันหอมระเหย ที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย, บรรเทาอาการ แมลงกัดต่อย และบรรเทาอาการคัดจมูกเนื่องจากหวัด

สำหรับ งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 19.00 น. ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-229-3515, 02-229-3503 หรืออีเมล [email protected], [email protected] งานนี้เป็นโอกาสดีที่ไม่ควรพลาดสำหรับการเติบโตและพัฒนาธุรกิจในยุคดิจิทัล สร้างความเปลี่ยนแปลงและนำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้จัดงาน Thailand Golf Expo 2024 (ไทยแลนด์กอล์ฟเอ็กซ์โป 2024) งานแสดงสินค้าและบริการสำหรับผู้ชื่นชอบกีฬากอล์ฟ เปิดเผยว่า ในการจัดงานครั้งนี้ ยกขบวนสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟราคาพิเศษพร้อมกับแพ็คเกจสุดอลังการ อัดแน่นไปด้วย แพ็กเกจกรีนฟี ที่พักในสนามกอล์ฟ อุปกรณ์กอล์ฟ สถาบันการสอนกอล์ฟที่ระดมผู้เชี่ยวชาญและโปรกอล์ฟมาร่วมให้คำแนะนำภายในงานทุกวัน พร้อมด้วยกิจกรรมไฮไลท์ การแข่งขันกอล์ฟ “1 พัตต์ 1 แสน” ให้ผู้ที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ ได้มาทดสอบฝีมือบนความท้าทายของสนามพัตต์กอล์ฟจำลอง ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ (เงินรางวัลรวม 100,000 บาท 4 วัน ตรวจสอบเงื่อนไขภายในงาน)

ทั้งนี้ กิจกรรม 1 พัตต์ 1 แสน จัดขึ้นทั้งหมด 4 วัน วันละ 2 รอบ รอบแรกช่วงเวลา 12.30-15.00 น. และ 16.30-19.00 น. โดยสามารถร่วมสนุกง่าย ๆ เพียงซื้อสินค้าภายในงาน “Thailand Golf Expo 2024” ครบ 3,000 บาทต่อวัน รับสิทธิ์ร่วมกิจกรรม “1 พัตต์ 1 แสน” ชิงรางวัล 1 แสนบาท จำนวน 1 ครั้ง (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ผู้จัดงานกำหนด)
ใครที่ชอบความท้าทาย และต้องการทดสอบความแม่นยำในการพัตต์ เชิญร่วมกิจกรรม “1 พัตต์ 1 แสน” (ไม่จำกัดอายุและเพศ) ได้ที่งาน Thailand Golf Expo 2024 ระหว่างวันที่ 16-19 พฤษภาคม 2566 เวลา 11.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ติดตามรายละเอียดการจัดงาน กิจกรรมต่างๆ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มภายในงาน ได้ทาง Facebook: Thailand Golf Expo หรือเว็บไซต์ www.thailandgolfexpo.com สามารถลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้า ได้ที่ https://eventpassinsight.co/el/to/ncc2405