Sci&Tech

ปรากฎการณ์อัศจรรย์ของ “ลิซ่า”
ผ่านมุมมองวิทยาศาสตร์ทางสมอง

 

จากปรากฎการณ์ที่น่าอัศจรรย์ของ ลิซ่า เมื่อดูภายนอกจะมองเห็นถึงความสำเร็จของสาวน้อยจากประเทศไทยที่ไปโด่งดังไกลในระดับโลก แต่เมื่อวิเคราะห์เบื้องหลังเชิงวิทยาศาสตร์แล้วจะเห็นถึงความมหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นจากลิซ่า ที่ส่งผลให้สมองของบรรดาแฟนคลับทั่วโลกคลั่งใคร่และรักเธอได้มากขนาดนี้ วันนี้เรามาถอดรหัสลึกลับในตัวของลิซ่าที่ส่งผลต่อสมองของแฟนคลับทั่วโลกกัน โดยการกระตุ้นให้สมองผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ 3 ชนิดออกมา ได้แก่

 

  1. ฮอร์โมนออกซิโทซิน จากความยากลำบากที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลิซ่าในช่วงแรกๆของการเดบิวต์ที่ประเทศเกาหลีใต้ มีความยากลำบากกว่าสมาชิกในวงคนอื่นๆ จะเห็นได้หลายครั้งว่าลิซ่าถูกปฏิบัติและได้แสงสปอตไลท์น้อยกว่าคนอื่น ทั้งจำนวนแฟนคลับที่น้อยกว่า จำนวนคนชอบก็น้อยกว่า แต่นี้คือความลับทางวิทยาศาสตร์สมองของความยากลำบาก เริ่มทำงาน เพราะเราจะเห็นว่าชาวต่างชาติที่ติดตามวงแบล็คพิงค์เริ่มเห็นความลำบากของลิซ่ามากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเห็นความสามารถของลิซ่าจึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

 

ดังนั้น ลิซ่าจึงเป็นเหมือนมวยรอง ซึ่งเป็นสถานะที่สำคัญมากในการสร้างตำนานของคนๆ หนึ่ง เพราะสถานะมวยรองจะทำให้ระบบประสาทสมองของมนุษย์ ผลิตสารเคมีที่สำคัญออกมามีชื่อว่า “ออกซิโทซิน” ซึ่งออกซิโทซินเกิดจากความเห็นอกเห็นใจที่เมื่อเราเห็นลิซ่าเป็นผู้ถูกกระทำ ถูกกดให้ต่ำ ถูกลดคุณค่า แต่ข้อสำคัญคือเราจะเห็นแต่พลังบวกจากลิซ่า ที่พยายามอย่างเต็มที่สูงสุดเสมอ และสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พลังที่แท้จริงของออก “ออกซิโทซิน” เปิดออกมา

 

การไม่ยอมแพ้ของลิซ่าความอดทนของลิซ่า และพลังด้านบวกที่ลิซ่าแสดงออกมาทำให้ปลดปล่อยพลัง ออกซิโทซิน ของฮีโร่ออกมาเพราะในสายตาของคนที่เห็นถึงความไม่ยอมแพ้แม้โดนปฏิบัติไม่ดี จะทำให้ “ออกซิโทซิน” ที่หลั่งออกมาแปลเปลี่ยนเป็นความเชื่อในตัวลิซ่าและสุดท้ายเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความรักในตัวลิซ่า ซึ่งเป็นพันธะที่แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เกิดเป็นกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่นกว่าคนดังคนอื่นๆ

 

  1. ฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเกิดจากความโชคร้ายของลิซ่าที่มาในรูปแบบของแอนตี้แฟนที่เป็นศัตรูลิซ่า ที่ได้ส่งคอมเมนต์หนักๆ ซึ่งหนักกว่าสมาชิกคนอื่นอยู่ตลอด โดยแอนตี้แฟนที่มีทัศนคติไม่ดีที่เอาแต่โจมตีในเรื่องของเชื้อชาติ บางครั้งก็ไล่ลิซ่ากลับประเทศของตัวเอง สิ่งที่ลิซ่าได้รับจากแอนตี้แฟนทั้งหลาย จึงเหมือนเป็นโชคร้ายที่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่พร้อมรอซ้ำเติมลิซ่าตลอดเวลา และสิ่งนี้ทำให้สมองของแฟนคลับของลิซ่าหรือคนที่ได้พบเห็นปล่อยสารเคมีตัวหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความเครียด และความกดดัน สารเคมีตัวนี้ ก็คือ “คอร์ติซอล

 

โดยเมื่อคนที่รักลิซ่า เมื่อเห็นว่าลิซ่าถูกดูถูกโดนด่าโดนว่า เขาคนนั้นก็จะปล่อย คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมาทันที ยิ่งลิซ่าโดนด่าแรงเท่าไหร่ คอร์ติซอล ก็จะถูกปล่อยเยอะขึ้นเท่านั้น แต่ลิซ่ามีความพิเศษตรงที่มีทัศนคติที่ไม่เคยด่าใครกลับเลย แต่กลับยิ่งแสดงให้เห็นแต่ด้านบวกออกมา ทำให้ความเครียดจากคอร์ติซอลเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนแห่งความรัก หรือ ออกซิโทซิน ที่เรากล่าวไปข้อที่แล้วผลิตออกมาเพิ่มขึ้น ทำให้ความโชคร้ายของลิซ่าที่มีศัตรูที่แข็งแกร่งแอนตี้แฟนเป็นตัวเร่งกระบวนการแห่งความรักในสายตาของคนทั่วไปมากขึ้นไปอีก คอร์ติซอลแห่งความเครียดทำให้ออกซิโทซิน แห่งความรักถูกกระตุ้นมากขึ้น ทำให้ความโชคร้ายเปลี่ยนไปเป็นความโชคดีได้อย่างไม่คาดคิด

 

  1. ฮอร์โมนเซโรโทนิน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้นสามารถนำไปทิ้งขยะได้เลย ถ้าลิซ่าไม่สามารถกระตุ้นสารเคมีอีกตัวนึงขึ้นมาได้ สารเคมีตัวนี้มีอิทธิพลต่อความดังของลิซ่ามากๆ และสารเคมีตัวนี้มีชื่อว่า เซโรโทนิน ที่เป็นสารเคมีที่สร้างความสุข ซึ่งสารเคมีแห่งความสุขจะมี 2 ชนิด คือ เซโรโทนิน และโดปามีน โดยโดปามีน จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้าภายนอก และเซโรโทนิน เกิดจากสิ่งเร้าภายในใจเท่านั้น ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆเมื่อเราดูติ๊กต๊อกหรือว่ายูทูปช็อตเราจะมีความสุข เนื่องจากความบันเทิงจากโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งเร้าภายนอกที่ทำให้ โดปามีน ผลิตออกมา แต่เมื่อเราหยุดดูคลิปวิดีโอความสุขเราก็จะหมดลงไปด้วย โดปามีนจึงเป็นเพียงแค่ความสุขระยะสั้นเท่านั้น

 

แต่ในส่วนของลิซ่า สามารถกระตุ้นให้สมองสร้าง เซโรโทนิน ขึ้นมาได้  เพราะการสร้างแบรนด์ของ ลิซ่า มาจากทัศนคติ และการกระทำพฤติกรรมของลิซ่า นอกจากจะสดใสให้พลังบวกกับคนที่ได้พบเห็นแล้ว ลิซ่ายังเป็นคนดีด้วย ซึ่งอย่างที่ทุกท่านทราบว่าลิซ่าถูกให้คำจำกัดความว่าเป็นคนถ่อมตัว เป็นคนใจดี เป็นคนน่ารัก และคำเหล่านี้เป็นสิ่งเร้าภายในจิตใจของผู้พบเห็นเมื่อเราเห็นคนทำความดีมันก็จะรู้สึกดีรู้สึกอิ่มเอมภายในใจ และจะตราตรึงประทับอยู่ในส่วนลึกของสมองได้ยาวนานมากกว่าความสวยหรือว่าความเก่ง และความอิ่มเอมใจที่เห็นลิซ่าทำความดี จะไปกระตุ้นต่อ เซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขที่เกิดขึ้นในใจของคนๆนั้น โดยไม่ต้องมีสิ่งเร้าภายนอกเข้ามากระตุ้น

 

ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็เพราะขาดฮอร์โมนเซโรโทนิน เนื่องจากมันผลิตได้ยาก เซโรโทนิน จึงเป็นฮอร์โมนทายาก ซึ่งทำให้ลิซ่าสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จมากกว่าคนดังคนอื่น เพราะว่า ลิซ่า สามารถกระตุ้นเจ้าฮอร์โมนที่หายากนี้ออกมา เมื่อสมองเราเห็นลิซ่าสมองเราจะตีความลิซ่าว่าเป็นความสุขโดยไม่รู้ตัว ทำให้สาเหตุที่แท้จริงของความดังของลิซ่า ก็คือ ความดีของลิซ่านั่นเอง

 

จากเหตุผลที่กล่าวมาเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เห็นว่าทำไมลิซ่าจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกทำไมลิซ่าจึงดังและมีอิทธิพลมากกว่าคนที่สวยที่หล่อหรือว่าคนเก่งคนอื่น คือ จะมีสักกี่คนกันครับที่สามารถกระตุ้นได้ทั้งฮอร์โมนโดปามีน กระตุ้นทั้งฮอร์โมนแห่งความเครียดคอร์ติซอล และกระตุ้นทั้งฮอโมนแห่งความรัก ออกซิโทซิน และที่สำคัญก็คือสามารถกระตุ้นฮอโมนแห่งความสุขที่หายากอย่างซีโรโทนินออกมาได้ ซึ่งมีเพียง ลิซ่า หนึ่งเดียวในโลกทีทำได้ และไม่สามารถถูกแทนที่ได้แม้จะมีคนที่สวยกว่า หรือเก่งกว่าออกมาอีกมากมาย แต่สุดท้ายความดีที่ยากจะเสื่อมสลายก็กลับกลายเป็นพลังอิทธิพลของลิซ่านั่นเอง

 

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=NQShOR8Bat8

 

วิทยาศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง “ผี”

สมองที่สามารถหลอกตัวเองได้

 

เรื่องผีเป็นเรื่องสนุกมากๆ โดยเฉพาะวันฮาโลวีน แต่บางคนเชื่อว่าผีมีจริง มหาวิทยาลัยแชปแมนในออเรนจ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ดำเนินการสำรวจประจำปีโดยถามผู้คนในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขาในเรื่องอาถรรพณ์ ในปี 2018 ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 58 เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า “สถานที่ต่างๆ สามารถถูกวิญญาณหลอกหลอนได้” และเกือบหนึ่งในห้าของผู้คนจากสหรัฐอเมริกากล่าวในการสำรวจอีกฉบับหนึ่งซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัย Pew ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่าพวกเขาเคยเห็นหรืออยู่ต่อหน้าผี

 

ในรายการทีวีล่าผี ผู้คนใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพยายามบันทึกหรือวัดกิจกรรมของวิญญาณ และรูปถ่ายและวิดีโอที่น่าขนลุกจำนวนมากทำให้ดูเหมือนผีมีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานที่ดีเกี่ยวกับผีเลย บ้างก็เป็นเรื่องหลอกลวง สร้างขึ้นเพื่อหลอกผู้คน ส่วนที่เหลือเพียงพิสูจน์ว่าบางครั้งอุปกรณ์สามารถจับสัญญาณรบกวน ภาพ หรือสัญญาณอื่นๆ ที่ผู้คนไม่คาดคิดได้ ผีมีโอกาสน้อยที่สุดในบรรดาคำอธิบายที่เป็นไปได้มากมาย

 

ผีไม่เพียงแต่ควรจะสามารถทำสิ่งที่วิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เช่น ล่องหนหรือทะลุกำแพง แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้วิธีการวิจัยที่เชื่อถือได้ก็ไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าผีมีอยู่จริง สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบนั้นมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองต้องเผชิญเรื่องน่ากลัวๆ ซึ่งข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าคุณไม่สามารถเชื่อสายตา หู หรือสมองของตัวเองได้ตลอดเวลา

 

‘ฝันลืมตา’

“ดอม” เริ่มมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาเมื่ออายุแปดหรือเก้าขวบ เขาจะตื่นขึ้นไม่สามารถขยับตัวได้ เขาได้ค้นคว้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา และเขาได้เรียนรู้ว่าวิทยาศาสตร์มีชื่อเรียกมันว่า อัมพาตการนอนหลับ ภาวะนี้ทำให้บางคนรู้สึกตื่นตัวแต่เป็นอัมพาตหรือถูกแช่แข็งอยู่กับที่ เขาขยับตัว พูด หรือหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ เขาอาจเห็น ได้ยิน หรือรู้สึกถึงร่างหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ สิ่งนี้เรียกว่าภาพหลอน

 

บางครั้งดอมก็นึกภาพหลอนว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังเดินหรือนั่งอยู่บนเขา บางครั้งเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง เขาเห็นบางสิ่งบางอย่างเพียงครั้งเดียวตอนเป็นวัยรุ่น

 

การนอนหลับเป็นอัมพาตเกิดขึ้นเมื่อสมองรบกวนกระบวนการนอนหลับหรือตื่น โดยปกติแล้วคุณจะเริ่มฝันหลังจากนอนหลับเต็มอิ่มแล้วเท่านั้น และคุณหยุดฝันก่อนที่คุณจะตื่น

 

ขณะฝันในช่วง REM ร่างกายมักจะเป็นอัมพาต ไม่สามารถแสดงท่าทางตามที่ผู้ฝันเห็นตัวเองแสดงได้ บางครั้งคนๆ หนึ่งจะตื่นขึ้นมาในขณะที่ยังอยู่ในสภาพนี้ นั่นอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัว

 

การนอนหลับเป็นอัมพาต “ก็เหมือนกับการฝันโดยลืมตา” Baland Jalal อธิบาย เขาเป็นนักประสาทวิทยา เขาศึกษาเรื่องการนอนหลับที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในประเทศอังกฤษ เขาบอกว่านี่คือสาเหตุที่มันเกิดขึ้น ความฝันที่สดใสและเหมือนจริงที่สุดของเราเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับระยะหนึ่ง เรียกว่าการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็วหรือ REM โดยการนอนหลับในระยะนี้ ดวงตาของคุณจะมองไปรอบๆ ภายใต้เปลือกตาที่ปิดอยู่ แม้ว่าดวงตาของคุณจะขยับ แต่ส่วนที่เหลือของร่างกายก็ทำไม่ได้ มันเป็นอัมพาต เป็นไปได้มากว่านั่นเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนแสดงความฝันของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้บาดเจ็บได้ขณะนอนหลับ

 

สมองของคุณมักจะปิดอัมพาตนี้ก่อนที่คุณจะตื่น แต่ในภาวะการนอนหลับเป็นอัมพาต คุณจะตื่นขึ้นในขณะที่อาการยังคงเกิดขึ้นอยู่

 

คุณไม่จำเป็นต้องประสบกับอาการอัมพาตการนอนหลับเพื่อสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีอยู่จริง คุณเคยรู้สึกว่าโทรศัพท์ของคุณส่งเสียงพึมพำแล้วตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีข้อความหรือไม่? คุณเคยได้ยินคนเรียกชื่อคุณตอนที่ไม่มีใครอยู่ไหม? คุณเคยเห็นใบหน้าหรือรูปร่างในเงามืดหรือไม่?

 

ความเข้าใจผิดเหล่านี้ยังถือเป็นภาพหลอนด้วย David Smailes กล่าว เขาเป็นนักจิตวิทยาในอังกฤษที่มหาวิทยาลัย Northumbria ในเมือง Newcastle-upon-Tyne เขาคิดว่าทุกคนมีประสบการณ์เช่นนั้น พวกเราส่วนใหญ่ก็เพิกเฉยต่อพวกเขา แต่บางคนก็อาจหันไปหาผีเป็นคำอธิบาย

 

โดย ในชีวิตปกติเราคุ้นเคยกับประสาทสัมผัสในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก ดังนั้นเมื่อประสบกับภาพหลอน สัญชาตญาณแรกของเรามักจะเชื่อมัน หากคุณเห็นหรือรู้สึกถึงการมีอยู่ของคนที่คุณรักที่เสียชีวิต และเชื่อในการรับรู้ของคุณ  “มันต้องเป็นผีแน่ๆ” สไมล์สกล่าว นั่นง่ายกว่าที่จะเชื่อว่าสมองของคุณกำลังโกหกคุณ

 

ทั้งนี้ เนื่องจากสมองมีงานที่ยากลำบาก ข้อมูลจากโลกกระหน่ำโจมตีคุณจากข้อมูลมากมายที่มาจากดวงตา หู และผิวหนัง สมองทำงานเพื่อทำความเข้าใจกับความยุ่งเหยิงนี้ สิ่งนี้เรียกว่าการประมวลผลจากล่างขึ้นบน และสมองก็เก่งมากด้วย ดีจนบางทีก็พบความหมายในสิ่งที่ไร้ความหมาย สิ่งนี้เรียกว่าpareidolia

 

ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางจิต เป็นการรับรู้สิ่งเร้า เช่น ภาพหรือเสียงที่ไม่ชัดเจนหรือไม่มีรูปแบบ (คือเป็นไปโดยบังเอิญหรือสุ่ม) ว่ามีความหมายหรือมีความสำคัญ ซึ่งเป็นการเห็นรูปแบบหรือความสัมพันธ์กันในข้อมูลสุ่มที่ไร้ความหมาย ตัวอย่างเช่น การเห็นรูปสัตว์หรือใบหน้าในก้อนเมฆ กระต่ายบนดวงจันทร์ และการได้ยินข้อความที่ซ่อนไว้เมื่อเล่นแผ่นเสียงไวนิลย้อนทาง เป็นต้น

 

นอกจากนี้ สมองยังประมวลผลจากบนลงล่าง มันเพิ่มข้อมูลให้กับการรับรู้ของคุณเกี่ยวกับโลก โดยส่วนใหญ่แล้ว มีสิ่งต่างๆ เข้ามาทางประสาทสัมผัสมากเกินไป การใส่ใจกับทุกสิ่งจะทำให้สมองต้องทำงานหนักจนเกินไป ดังนั้นสมองของคุณจะเลือกส่วนที่สำคัญที่สุดออกมา แล้วมันก็เติมเต็มส่วนที่เหลือ “การรับรู้ส่วนใหญ่คือการที่สมองเติมเต็มช่องว่าง” สไมลส์อธิบาย

 

สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงในโลกนี้ มันเป็นภาพที่สมองของคุณวาดให้คุณตามสัญญาณที่ดวงตาของคุณจับได้ เช่นเดียวกับประสาทสัมผัสอื่นๆ ของคุณ ส่วนใหญ่แล้วภาพนี้จะแม่นยำ แต่บางครั้งสมองก็เติมสิ่งที่ไม่มีเข้าไป

 

สิ่งนี้คล้ายกันมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนักล่าผีจับเสียงที่พวกเขาพูดว่าผีพูด (เขาเรียกปรากฏการณ์เสียงอิเล็กทรอนิกส์นี้ว่า EVP) การบันทึกอาจเป็นเพียงเสียงรบกวนแบบสุ่ม หากคุณฟังโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร คุณก็อาจจะไม่ได้ยินคำพูดใดๆ แต่เมื่อมีการชี้นำว่าคำนั้นหมายถึงอะไร คุณก็จะคล้อยตามและได้ยินคำเหล่านั้น

 

สมองของคุณอาจเพิ่มใบหน้าลงในภาพที่มีสัญญาณรบกวนแบบสุ่ม การวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการประสาทหลอนทางสายตามีแนวโน้มที่จะมีอาการ pareidolia มากกว่าปกติ เช่น เห็นใบหน้าในรูปแบบต่างๆ แบบสุ่ม

 

ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับผู้คนที่เคยสัมผัสได้ถึงผี เขาชี้ให้เห็นว่า “พวกเขามักจะอยู่คนเดียว ในความมืดและหวาดกลัว” หากมืด สมองของคุณจะไม่สามารถรับข้อมูลภาพจากโลกภายนอกได้มากนัก สมองจะสร้างความเป็นจริงให้กับคุณมากขึ้น ในสถานการณ์ประเภทนี้ Smailes กล่าวว่า สมองอาจมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะนำสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาสู่ความเป็นจริง

 

คุณเห็นกอริลลาไหม?

ภาพความเป็นจริงของสมองบางครั้งอาจรวมถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่ด้วย แต่ยังสามารถพลาดสิ่งที่มีอยู่โดยสิ้นเชิงได้ นี้เรียกว่าตาบอดโดยไม่ตั้งใจ ต้องการทราบว่ามันทำงานอย่างไร? ดูวิดีโอก่อนที่คุณจะอ่านต่อ

 

วิดีโอนี้แสดงให้เห็นผู้คนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและดำกำลังขว้างบาสเก็ตบอล นับจำนวนครั้งที่คนเสื้อขาวส่งบอล คุณเห็นกี่อัน?

 

วิดีโอนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยเรื่องภาวะตาบอดโดยไม่ตั้งใจอันโด่งดังในปี 1999 ในขณะที่คุณดู ให้นับจำนวนครั้งที่คนเสื้อขาวผ่านบาสเก็ตบอล

ในระหว่างที่ดูวิดีโอ มีชายคนหนึ่งในชุดกอริลลาเดินผ่านผู้เล่น คุณเห็นมันไหม? ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ชมทั้งหมดที่นับผ่านขณะดูวิดีโอจะพลาดกอริลลาไปโดยสิ้นเชิง

 

หากคุณพลาดกอริลลามากเกินไป แสดงว่าคุณตาบอดโดยไม่ตั้งใจ คุณน่าจะอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าการดูดซึม นั่นคือเมื่อคุณมีสมาธิกับงานมากจนคุณปรับแต่งอย่างอื่นทั้งหมด

 

“หน่วยความจำไม่ทำงานเหมือนกล้องวิดีโอ” คริสโตเฟอร์ เฟรนช์ กล่าว เขาเป็นนักจิตวิทยาในอังกฤษที่ Goldsmiths University of London คุณจำเฉพาะสิ่งที่คุณสนใจเท่านั้น บางคนมีแนวโน้มที่จะซึมซับมากกว่าคนอื่นๆ และคนเหล่านี้ยังรายงานถึงระดับที่สูงกว่าของความเชื่อเรื่องอาถรรพณ์อีกด้วย รวมถึงความเชื่อเรื่องผีด้วย

 

สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร? ประสบการณ์แปลกๆ บางอย่างที่ผู้คนตำหนิว่าเป็นผีนั้นเกี่ยวข้องกับเสียงหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถอธิบายได้ หน้าต่างอาจดูเหมือนเปิดออกทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนเปิดมันขึ้นมาแล้วคุณไม่ได้สังเกตเพราะว่าคุณหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นมากกว่า? นั่นมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงมากกว่าเรื่องผีมาก

 

ในการศึกษาครั้งหนึ่งในปี 2014 พบว่าผู้ที่มีความเชื่อเรื่องอาถรรพณ์ในระดับสูงกว่าและมีแนวโน้มที่จะถูกหมกมุ่นอยู่กับการเรียนรู้สูง มีแนวโน้มที่จะประสบกับภาวะตาบอดโดยไม่ตั้งใจมากกว่าเช่นกัน พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีหน่วยความจำในการทำงานที่จำกัดมากขึ้นอีกด้วย นั่นคือจำนวนข้อมูลที่คุณสามารถเก็บไว้ในหน่วยความจำได้ในคราวเดียว

 

หากคุณมีปัญหาในการเก็บข้อมูลจำนวนมากไว้ในความทรงจำหรือให้ความสนใจกับหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน คุณก็เสี่ยงที่จะพลาดสัญญาณทางประสาทสัมผัสจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ และคุณอาจเข้าใจผิดว่าเป็นผลจากผี

 

พลังแห่งการคิดอย่างมีวิจารณญาณ

ใครๆ ก็อาจประสบกับภาวะการนอนหลับเป็นอัมพาต ภาพหลอน อาการพาเรโดเลีย หรือตาบอดโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่หันไปพึ่งผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นๆ เพื่ออธิบายประสบการณ์เหล่านี้ ดอมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผีจริงๆ แม้แต่ตอนเด็กๆ เขาออนไลน์และถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เขาใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเขาก็ได้รับคำตอบที่ต้องการ เมื่อเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตอนนี้ เขาใช้เทคนิคที่จาลาลพัฒนาขึ้น ดอมไม่พยายามที่จะหยุดตอนนี้ เขาแค่มุ่งความสนใจไปที่การหายใจ พยายามผ่อนคลายให้มากที่สุด และรอให้มันผ่านไป เขาพูดว่า “ฉันจัดการกับมันได้ดีกว่ามาก ฉันแค่นอนหลับและสนุกกับการนอนหลับ”

 

ด้าน Robyn Andrews เป็นนักศึกษาจิตวิทยาที่ University of South Wales ใน Treforest เธอสงสัยว่าคนที่มีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ที่แข็งแกร่งกว่าจะมีโอกาสเชื่อเรื่องอาถรรพณ์น้อยลงหรือไม่ ดังนั้น เธอและฟิลิป ไทสัน นักจิตวิทยาที่ปรึกษาของเธอ จึงคัดเลือกนักเรียน 687 คน เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเหนือธรรมชาติของพวกเขา นักศึกษาสาขาวิชาเอกในหลากหลายสาขา แต่ละคนถูกถามว่าเขาหรือเธอเห็นด้วยกับข้อความ เช่น “เป็นไปได้ที่จะสื่อสารกับคนตาย” มากเพียงใด หรือ “จิตใจหรือจิตวิญญาณของคุณสามารถออกจากร่างกายและการเดินทางได้” ทีมวิจัยยังพิจารณาผลการเรียนของนักเรียนในงานมอบหมายล่าสุดด้วย

 

การศึกษานี้พบว่านักเรียนที่มีเกรดสูงกว่ามักจะมีความเชื่อเรื่องอาถรรพณ์ในระดับต่ำกว่า และนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ มักจะไม่เชื่อมากเท่ากับผู้ที่เรียนศิลปะ แนวโน้มนี้ยังได้รับการเห็นจากการวิจัยของผู้อื่นด้วย

 

การศึกษานี้ไม่ได้ประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนจริงๆ “นั่นคือสิ่งที่เราจะพิจารณาเป็นการศึกษาในอนาคต” แอนดรูว์กล่าว อย่างไรก็ตาม การวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่านักศึกษาวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มที่จะมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณมากกว่านักศึกษาศิลปะ อาจเป็นเพราะคุณต้องคิดอย่างมีวิจารณญาณเพื่อทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณสามารถช่วยให้คุณค้นหาสาเหตุที่เป็นไปได้ของประสบการณ์ที่ผิดปกติโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผี

 

แม้แต่ในหมู่นักศึกษาวิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงาน ความเชื่อเรื่องอาถรรพณ์ยังคงมีอยู่ แอนดรูว์และไทสันคิดว่านั่นคือปัญหา หากคุณไม่สามารถตัดสินได้ว่าเรื่องผีหรือประสบการณ์น่ากลัวนั้นมีจริงหรือไม่ คุณก็อาจโดนโฆษณาหลอก การรักษาพยาบาลปลอม หรือข่าวปลอมได้ Tyson กล่าว เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่จะเรียนรู้วิธีตั้งคำถามกับข้อมูลและแสวงหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลและเป็นจริง

 

ดังนั้นหากมีใครเล่าเรื่องผีให้คุณฟังในวันฮาโลวีนนี้ ขอให้สนุกไปกับมัน แต่ยังคงสงสัย ลองนึกถึงคำอธิบายอื่นๆ ที่เป็นไปได้สำหรับสิ่งที่อธิบายไว้ จำไว้ว่าจิตใจของคุณอาจหลอกให้คุณประสบกับสิ่งน่ากลัวได้

 

ที่มา : https://www.snexplores.org/article/science-ghosts

การศึกษาใหม่พบน้ำอสุจิของมนุษย์

มีไมโครพลาสติกในทุกตัวอย่าง

 

ในเดือนที่ผ่านมาการวิจัยได้พบว่าไมโครพลาสติกสามารถตรวจพบได้ง่ายในลูกอัณฑะของมนุษย์ แต่การศึกษาล่าสุดได้พบอนุภาคโพลีเมอร์ในน้ำอสุจิ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการมีบุตรยากในอนาคต

 

ตามรายงานใหม่ในวารสาร Science of the Total Environment ทีมแพทย์ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศจีน ค้นพบไมโครพลาสติกหลายประเภทภายในตัวอย่างน้ำอสุจิทุกตัวอย่างที่รวบรวมจากผู้ชายทั้งหมด 40 คนที่ได้รับการคัดเลือกจากกลุ่มประชากรทั่วไป

 

ตามที่The Guardian ระบุไว้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พบพลาสติกที่แตกต่างกันทั้งหมด 8 ชนิดในตัวอย่าง ซึ่งเป็นโพลีสไตรีน และโพลีเอทิลีน ที่แพร่หลายที่สุด ที่มักใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องโฟม กล่องบรรจุภัณฑ์ และถุงพลาสติก ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ตรวจพบมากที่สุดรองลงมา คือ พีวีซี

 

ทั้งนี้ หลักฐานที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่าไมโครพลาสติกที่มีอยู่แพร่หลายในปัจจุบันเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และดูเหมือนว่าจะเชื่อมโยงกับปัญหาทางชีวภาพความผิดปกติของฮอร์โมน และอาจมีจำนวนอสุจิลดลง นอกเหนือจากลูกอัณฑะของมนุษย์ ยังตรวจพบมลภาวะในปอด เลือด รกและแม้แต่น้ำนมแม่

 

ทั้งนี้ เนื่องจากการวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ทำให้การสัมผัสไมโครพลาสติกเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ การทำความเข้าใจขอบเขตของการปนเปื้อนของมนุษย์ และความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ของระบบสืบพันธุ์จึงมีความจำเป็น

 

น่าเสียดายที่ข่าวนี้ไม่ได้น่าตกใจนัก เนื่องจากเป็นการยากที่จะหาสถานที่บนโลกที่ไม่มีร่องรอยของไมโครพลาสติกในขณะนี้ จากส่วนลึกที่สุดของมหาสมุทรไปจนถึงยอดเขาเอเวอเรสต์โดยพื้นฐานแล้ว ขยะพิษมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ณ จุดนี้ ไมโครพลาสติก ซึ่งมักตรวจไม่พบด้วยตาเปล่าสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางอาหารที่กิน น้ำที่พวกเขาดื่ม และแม้แต่อากาศที่พวกมันหายใจเข้าไป จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม แต่หลักฐานเบื้องต้นว่าอนุภาคสามารถทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อได้ เช่นเดียวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวาย แล้วก็มีผลกระทบเฉพาะเจาะจงต่อผู้ชายด้วย

 

ในปัจจุบัน สัดส่วนของมีคู่รักทั่วโลกประมาณ 15% ประสบภาวะมีบุตรยาก โดยปัจจัยภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชายคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของกรณีทั้งหมด ซึ่งการศึกษาวิจัยเหล่านี้ มีแนวโน้มมากขึ้นที่ไมโครพลาสติกอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

ที่มา : https://www.popsci.com/science/semen-microplastics/

แนวทางใหม่รักษามะเร็งชนิดร้ายแรง

เพิ่มไมโตคอนเดรียแก้ปัญหาดื้อยา

 

นักวิจัยจากสถาบัน Karolinska Institutet ของสวีเดน ได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างปริมาณไมโตคอนเดรียในเซลล์ที่ลดลง และการดื้อต่อการรักษามะเร็งไตชนิดที่อันตรายถึงชีวิต โดยเซลล์มะเร็งจะตอบสนองต่อการรักษาเมื่อนักวิจัยใช้สารยับยั้งเพื่อเพิ่มปริมาณไมโตคอนเดรีย งานวิจัยของพวกเขาซึ่งตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสาร Nature Metabolism ทำให้มีความเป็นไปได้ในการรักษามะเร็งที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ไมโตคอนเดรีย ต้องการออกซิเจนเพื่อสร้างพลังงานให้กับเซลล์ พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ที่ใช้ออกซิเจนมากที่สุด โดยเซลล์ที่มีสุขภาพดีจะถูกป้องกันไม่ให้กลายเป็นมะเร็งโดยยีนที่เรียกว่า von Hippel-Lindau (VHL) ซึ่งผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ประจำปี 2019 โดยค้นพบว่า VHL เป็นส่วนหนึ่งของระบบตรวจจับออกซิเจนของเซลล์ โดยปกติ VHL จะสลายโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า HIF

 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ VHL กลายพันธุ์ HIF จะสะสมและทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า VHL syndrome ซึ่งเซลล์จะทำปฏิกิริยาราวกับว่าขาดออกซิเจนแม้ว่าจะมีออกซิเจนอยู่ก็ตาม กลุ่มอาการ VHL เพิ่มความเสี่ยงของเนื้องอกอย่างมากทั้งในชนิดที่ไม่เป็นภัย และชนิดเป็นภัยร้ายแรง ซึ่งมะเร็งไตที่เกิดจากกลุ่มอาการ VHL ที่มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี จะมีอัตราการตายภายในห้าปีสูงถึง 88%

 

ในการศึกษาครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบปริมาณโปรตีนของเซลล์มะเร็งจากผู้ป่วยที่มีกลุ่มอาการ VHL ที่แตกต่างกัน และความแตกต่างจากกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการกลายพันธุ์ของ VHL แบบพิเศษที่เรียกว่า Chuvash ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการรับรู้ภาวะขาดออกซิเจนโดยไม่มีการพัฒนาเนื้องอก ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของ Chuvash VHL มีไมโตคอนเดรียปกติในเซลล์ของพวกเขา ในขณะที่ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของอาการ VHL มีน้อย

 

เพื่อเพิ่มปริมาณไมโตคอนเดรียในเซลล์มะเร็งไตที่เกี่ยวข้องกับ VHL นักวิจัยได้รักษาเนื้องอกเหล่านี้ด้วยสารยับยั้งโปรตีเอสของไมโตคอนเดรียที่เรียกว่า “LONP1” เซลล์จึงไวต่อยารักษาโรคมะเร็ง sorafenib ซึ่งเซลล์เหล่านั้นเคยต่อต้านมาก่อน โดยการศึกษาด้วยหนูทดลอง พบว่าการรักษาแบบผสมผสานนี้ทำให้การเติบโตของเนื้องอกลดลง

 

“เราหวังว่าความรู้ใหม่นี้จะปูทางให้สารยับยั้งโปรตีเอส LONP1 ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นในการรักษามะเร็งไตในเซลล์ที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับ VHL” Shuijie Li ผู้เขียนคนแรกของการศึกษา นักวิจัยหลังปริญญาเอกในทีมของ Schlisio กล่าว “การค้นพบของเราสามารถเชื่อมโยงกับมะเร็งกลุ่มอาการ VHL ทั้งหมด เช่น เนื้องอกในระบบประสาทต่อมไร้ท่อ pheochromocytoma และ paraganglioma ซึ่งไม่ใช่แค่มะเร็งไตเท่านั้น”

 

ที่มา : https://scitechdaily.com/a-new-approach-to-treating-a-lethal-type-of-cancer/

เจมส์เว็บบ์ ย้อนอดีต 13,500 ล้านปี

พบกาแล็กซีที่ห่างไกล และเก่าแก่ที่สุด

 

กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เว็บบ์ (JWST) ทำลายสถิติของตัวเองลงอีกครั้ง ด้วยการค้นพบดาราจักรหรือกาแล็กซีที่อยู่ห่างไกลออกไปในห้วงอวกาศลึกมากที่สุด เท่าที่เคยมีการค้นพบมา

 

กาแล็กซีดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า JADES-GS-z14-0 ยังเป็นกาแล็กซีที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เท่าที่นักดาราศาสตร์เคยตรวจพบมาอีกด้วย เนื่องจากมันก่อตัวขึ้นหลังเหตุการณ์กำเนิดจักรวาลหรือบิ๊กแบง (Big Bang) เพียง 290 ล้านปีเท่านั้น

 

หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง การค้นพบครั้งนี้ทำให้เราได้มองเห็นเอกภพในยุคโบราณ ซึ่งเริ่มมีการก่อตัวของกาแล็กซีแล้ว ขณะที่มันยังมีอายุน้อยมากเพียง 2% ของอายุปัจจุบัน (ประมาณ 13,800 ล้านปี) หรือมองย้อนอดีตไปไกลถึง 13,500 ล้านปี

 

กล้อง JWST ใช้กระจกปฐมภูมิขนาดใหญ่ซึ่งกว้าง 6.5 เมตร รวมทั้งอุปกรณ์ไฮเทคที่ไวต่อรังสีอินฟราเรด ในการค้นหากาแล็กซีดังกล่าวจนพบ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยบันทึกภาพกาแล็กซีห่างไกลและเก่าแก่ที่สุดมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งกาแล็กซีที่เป็นเจ้าของสถิติเดิมครั้งหลังสุด ถือกำเนิดขึ้นหลังเหตุการณ์บิ๊กแบง 325 ล้านปี

 

อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์ระบุว่าสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของกาแล็กซีที่เพิ่งค้นพบ ไม่ใช่ระยะทางที่ห่างไกลจากโลกของมัน แต่เป็นขนาดที่ใหญ่ยักษ์และความสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าที่ควรจะเป็น

 

ผลการตรวจวัดของกล้อง JWST พบว่า JADES-GS-z14-0 มีความกว้างกว่า 1,600 ปีแสง ซึ่งขนาดของมันบ่งชี้ว่า แสงสว่างเจิดจ้าที่เปล่งออกมาไม่ได้เกิดจากการดูดกลืนก๊าซของหลุมดำมวลยิ่งยวดใจกลางดาราจักร เหมือนกับกรณีของกาแล็กซีที่สุกสว่างส่วนใหญ่ แต่น่าจะมาจากการก่อกำเนิดของหมู่ดาวฤกษ์อายุน้อยในกาแล็กซีนั้น

 

ดร.สเตฟาโน คาร์นิอานี และ ดร.เควิน เฮนไลน์ สองนักดาราศาสตร์ประจำกล้อง JWST บอกว่า “แสงดาวที่สุกสว่างขนาดนี้ ชี้ว่ากาแล็กซีนั้นต้องมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์หลายร้อยล้านเท่า เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ธรรมชาติสรรสร้างดาราจักรที่ทั้งสว่างจ้า, มีมวลมหาศาล, และมีขนาดมหึมาเช่นนั้น ภายในเวลาไม่ถึง 300 ล้านปีได้อย่างไรกัน”

 

ดร.คาร์นิอานี ยังเป็นนักดาราศาสตร์ในสังกัดของสถาบัน Scuola Normale Superiore ของอิตาลีอีกด้วย ส่วนดร.เฮนไลน์นั้น เป็นนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาของสหรัฐฯ

 

.

กล้อง JWST ซึ่งมีมูลค่าถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกปล่อยขึ้นปฏิบัติภารกิจในห้วงอวกาศเมื่อปี 2021 โดยเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และแคนาดา

 

ตัวกล้องถูกออกแบบให้สามารถมองออกไปในห้วงอวกาศลึกได้ไกลกว่าที่เคย ซึ่งหมายความว่า เราสามารถมองย้อนอดีตไปในห้วงเวลาของจักรวาลจนเข้าใกล้จุดกำเนิดของมันได้มากขึ้น โดยหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของกล้อง JWST คือการค้นหาดาวฤกษ์ดวงแรกที่ให้แสงสว่างแก่จักรวาลที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา

 

วัตถุอวกาศขนาดใหญ่อย่างดาวฤกษ์ยุคโบราณเหล่านี้ อาจมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์หลายร้อยเท่า แต่มีองค์ประกอบเป็นธาตุเพียงสองชนิดคือไฮโดรเจนและฮีเลียม ซึ่งนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันสันนิษฐานว่า พวกมันน่าจะเผาไหม้เชื้อเพลิงของตนเองจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีแสงสว่างเจิดจ้าอย่างเหลือเชื่อแต่อายุสั้น

.

การเผาไหม้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนและฮีเลียมในแก่นกลางของดาวฤกษ์ยุคแรกเริ่ม ได้ก่อกำเนิดธาตุที่หนักขึ้นชนิดอื่น ๆ ในธรรมชาติ ซึ่งเรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ส่วน JADES-GS-z14-0 นั้น กล้อง JWST พบว่ามีออกซิเจนอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งบ่งชี้ว่ามันเป็นกาแล็กซีที่ได้ขยายตัวเติบโตขึ้นมาพอสมควรแล้ว

 

“การที่กาแล็กซีนี้มีออกซิเจนอยู่ในช่วงที่ยังมีอายุน้อยมาก ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นไปได้ว่า กาแล็กซีนี้มีดาวฤกษ์ขนาดยักษ์เกิดขึ้นและดับสูญไปแล้วหลายชั่วรุ่น ในช่วงก่อนการค้นพบของเรา” ดร. คาร์นิอานี และ ดร.เฮนไลน์ กล่าวเสริม

 

ทั้งนี้ คำว่า JADES ในชื่อของกาแล็กซีที่ห่างไกลและเก่าแก่ที่สุด เป็นตัวย่อของคำว่า JWST Advanced Deep Extragalactic Survey ซึ่งหมายถึงโครงการสำรวจกาแล็กซีที่ยังไม่ถูกค้นพบในห้วงอวกาศลึกที่ไกลออกไปยิ่งกว่าเดิม โดยมุ่งค้นหากาแล็กซีโบราณที่ดำรงอยู่ในช่วงไม่กี่ร้อยล้านปีแรกหลังเหตุการณ์บิ๊กแบง

 

ส่วนตัวอักษรและตัวเลข z14 หมายถึง “เรดชิฟต์ 14” ซึ่งคำนี้หมายถึงปรากฏการณ์เลื่อนไปทางสีแดงของความยาวคลื่นแสง โดยจะเกิดขึ้นกับแสงที่เดินทางมาจากแหล่งกำเนิดห่างไกล จนความยาวคลื่นถูกยืดขยายออกให้ดูเป็นสีแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามการขยายตัวของพื้นหลังเอกภพ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะบ่งบอกถึงระยะทางที่แสงเดินทางมาจากแหล่งกำเนิดจนถึงผู้สังเกตการณ์ได้อย่างแม่นยำ

 

ยิ่งวัตถุอวกาศที่เราสังเกตอยู่ห่างออกไปมากเท่าไหร่ คลื่นแสงของมันจะยิ่งถูกยืดขยายออกมากขึ้นเท่านั้น ทำให้แสงจากกาแล็กซีอายุเก่าแก่ที่อยู่ในย่านความยาวคลื่นอัลตราไวโอเล็ต หรือในย่านที่ดวงตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ กลายเป็นรังสีอินฟราเรดที่มีสีแดงไปในที่สุด ซึ่งกล้อง JWST ได้รับการออกแบบมาให้ไวต่อรังสีอินฟราเรดเป็นพิเศษ

 

ศ. แบรนต์ โรเบิร์ตสัน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานตาครูซของสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า “เราสามารถจะตรวจจับกาแล็กซีที่ห่างไกลที่สุดแห่งนี้ได้ แม้ว่ามันจะดูมืดมัวไม่ชัดเจนยิ่งกว่านี้ถึงสิบเท่า ซึ่งหมายความว่าเราจะยังสามารถค้นหากาแล็กซีที่ห่างไกลและเก่าแก่มากกว่านี้ได้อีก บางทีอาจจะเป็นกาแล็กซีที่ดำรงอยู่ในช่วง 200 ล้านปีแรกของจักรวาลด้วยซ้ำ”

 

ที่มา : https://www.bbc.com/news/articles/cjeenyw8rd2o

กองทัพจีนพัฒนาอาวุธเลเซอร์

ที่สามารถยิงได้ ‘ไม่จำกัด’

 

อาวุธเลเซอร์พลังงานสูงสามารถทำงานได้ “ไม่จำกัด” ด้วยระบบระบายความร้อนใหม่ที่ช่วยลดการสะสมความร้อนเหลือทิ้งโดยสิ้นเชิง โดยเทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าการต่อสู้ได้อย่างมากด้วยการขยายเวลาการต่อสู้ และเพิ่มระยะและความเสียหาย

 

โดย นักวิทยาศาสตร์การทหารของจีนได้ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยีอาวุธเลเซอร์ โดยอ้างว่าพวกเขาได้พัฒนาระบบทำความเย็นใหม่ที่ช่วยให้เลเซอร์พลังงานสูงทำงาน “ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด” โดยไม่มีความร้อนเหลือทิ้ง ซึ่งปัญหาด้านความร้อนเป็นเรื่องสำคัญที่ฉุดรั้งการพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธเลเซอร์มาตั้งแต่ปี 2503 เพราะเมื่อความร้อนสูงขึ้นจะทำให้ลดความแม่นยำ ลดระยะทางในการยิง และทำให้เกิดความผิดพลายในระบบ รวมทั้งอาวุธเลเซอร์ที่ผ่านมาก็มีน้ำหนักมากจนไม่คุ้มค่าในการนำมาใช้งานจริง

 

แต่ทั้งนี้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกลาโหมแห่งชาติในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน กล่าวว่าระบบทำความเย็นแบบใหม่จะขจัดความร้อนที่เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานของเลเซอร์พลังงานสูงได้อย่างสมบูรณ์ ปัญหานี้ถือเป็นความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอาวุธเลเซอร์ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ อาวุธสามารถสร้างลำแสงเลเซอร์ได้นานเท่าที่ต้องการ โดยไม่หยุดชะงักหรือลดประสิทธิภาพลง

 

“นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเลเซอร์พลังงานสูง” ทีมงานที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์อาวุธเลเซอร์ Yuan Shengfu กล่าว

 

โดย ระบบระบายความร้อนใหม่ใช้โครงสร้างขั้นสูงและการไหลของก๊าซที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อขจัดความร้อนจากภายในอาวุธเลเซอร์ ในขณะที่ลดความปั่นป่วนและการสั่นสะเทือน และปรับปรุงความสะอาดของกระจก ทำให้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการรบได้อย่างมาก โดยการขยายเวลาการสู้รบ เพิ่มระยะและความเสียหาย ลดปัญหาในการขนส่งและมีต้นทุนที่คุ้มค่า

 

การพัฒนาอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงของจีนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายหรือปิดการใช้งานเป้าหมาย เช่น โดรน ขีปนาวุธ และเครื่องบิน อาวุธเหล่านี้มีข้อดีคือสามารถโจมตีเป้าหมายด้วยความเร็วแสง ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในการต่อสู้กับเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว ทำให้มีศักยภาพที่จะคุ้มค่ากว่าระบบที่ใช้ขีปนาวุธแบบดั้งเดิม เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ราคาแพงและสามารถชาร์จใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และยังใช้ทำลายดาวเทียมของประเทศที่เป็นศัตรู เช่น Starlink ของ SpaceX ตามที่นักวิทยาศาสตร์การทหารกล่าว

 

นอกจากนี้ อาวุธเหล่านี้ยังสามารถรบกวนความสามารถในการสื่อสาร การนำทาง และการเฝ้าระวังของศัตรู และสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในความขัดแย้งในอวกาศได้อีกด้วย

 

ที่มา : https://www.channelnewsasia.com/asia/china-laser-weapon-army-military-pla-infinite-indefinite-3699451

ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลก ปี 2572

พลังทำลายเทียบเท่าพื้นที่ยุโรปกลาง

 

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 360 เมตรจะเข้ามาใกล้โลกมากในวันที่ 13 เมษายน 2572 ซึ่งจะมีระยะห่างจากโลกเพียง 30,000 กิโลเมตร สามารถมองเห็นอะโพฟิสด้วยตาเปล่าเป็นจุดแสงบนท้องฟ้ายามเย็นได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการวิจัยที่หาได้ยากสำหรับโครงการต่างๆ เช่น NEAlight ของเยอรมนี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนากลยุทธ์การป้องกันภัยคุกคามจากดาวเคราะห์น้อย

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 360 เมตรจะเข้ามาใกล้โลกมากในวันที่ 13 เมษายน 2572 เครดิต: Jonathan Maennel / กับ Eyes on the Solar System, NASA/JPL

ทั้งนี้ ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยของมันอยู่ที่ 340 เมตร หากมันกระทบพื้นโลก การทำลายล้างที่เกิดจากการกระแทกกับพื้นดินจะยิ่งใหญ่มาก แรงกระแทกอาจทำลายล้างพื้นที่ขนาดยุโรปกลางได้ โดย NASA คำนวณไว้ นับตั้งแต่ดาวเคราะห์น้อยถูกค้นพบในปี 2547 และจัดอยู่ในกลุ่มอันตราย สหรัฐฯ และองค์กรอวกาศอื่นๆ ก็ได้จับตาดูวงโคจรของมันอย่างใกล้ชิด และตอนนี้รู้แล้วว่ามันจะบินผ่านโลก

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ต้องเป็นกังวลสำหรับดาวเคราะห์ดวงนี้ เพราะ NASA ได้คำนาณไว้ว่าจะไม่พุ่งชนโลกอย่างแน่นอน แต่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อวกาศ ที่จะได้เข้าไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยในระยะใกล้ โดยใช้ต้นทุนไม่มากนัก

 

Apophis เสนอโอกาสที่หาได้ยากสำหรับการวิจัย

ดาวเคราะห์น้อยเป็นวัตถุที่มีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งเคลื่อนที่ในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ปัจจุบันมีดาวเคราะห์น้อยประมาณ 1.3 ล้านดวงที่มีอยู่ในระบบสุริยะของเรา และประมาณ 2,500 ดวง ถือว่าเป็นอันตรายต่อโลก ดาวเคราะห์น้อยที่อาจเป็นอันตราย (PHA) คือดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ซึ่งมีวงโคจรอยู่ห่างจากโลกน้อยกว่า 20 ดวง และมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 140 เมตร  นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยมากนัก จนถึงปัจจุบัน มีภารกิจดาวเทียมเพียงประมาณ 20 ภารกิจเท่านั้นที่มุ่งเป้าไปที่ดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้

 

โครงสร้างของดาวเคราะห์น้อยคืออะไร? อะไรมีอิทธิพลต่อวิถีของพวกเขา? จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันเมื่อพวกมันบินเข้าใกล้วัตถุอื่นและรู้สึกถึงแรงดึงดูดของมัน? มีคำถามมากมายที่ต้องตอบ เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยขนาดนี้จะเข้ามาใกล้โลกทุกๆ 1,000 ปีเท่านั้น จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะศึกษาดาวเคราะห์น้อยดวงนี้โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ในการทำเช่นนั้น มนุษยชาติยังสามารถได้รับความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบป้องกันดาวเคราะห์น้อยที่เป็นอันตรายได้

 

แนวคิดสามประการในการสำรวจ

เยอรมนีมีส่วนสนับสนุนการวิจัยเรื่อง Apophis อย่างไรบ้าง ทีม JMU นำโดยศาสตราจารย์ Hakan Kayal วิศวกรการบินและอวกาศกำลังตรวจสอบคำถามนี้ในโครงการ NEAlight

 

ด้วยเงินทุนประมาณ 300,000 ยูโร จากกระทรวงกิจการเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลกลาง ปัจจุบัน Jonathan Männel ผู้นำโครงการและผู้ช่วยวิจัย Tobias Neumann และ Clemens Riegler กำลังตรวจสอบแนวคิดสามประการสำหรับภารกิจดาวเทียมขนาดเล็กของเยอรมัน

 

แนวคิดที่หนึ่ง : สำหรับภารกิจระดับชาติ ทีมงานของ Kayal กำลังสร้างดาวเทียมขนาดเล็กที่จะติดตามดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสเป็นเวลาสองเดือน เพื่อเดินทางไปยังจุดที่ใกล้ที่สุด และอยู่กับมันต่อไปอีกสองสามสัปดาห์หลังจากนั้น ในช่วงเวลานี้ การเปลี่ยนแปลงในอะโพฟิสจะถูกบันทึกด้วยภาพถ่ายและวิเคราะห์โดยใช้การวัดต่างๆ กลยุทธ์นี้มีความท้าทายทางเทคนิคหลายประการ เนื่องจากดาวเทียมขนาดเล็กต้องครอบคลุมระยะไกลและทำงานโดยอิสระเป็นส่วนใหญ่

 

แนวคิดที่สอง : เยอรมนีกำลังเข้าร่วมในภารกิจ RAMSES ของยุโรปที่วางแผนไว้ จะเป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ที่ติดตั้งดาวเทียมขนาดเล็ก กล้องโทรทรรศน์ และเครื่องมือวัดอื่นๆ ซึ่งจะบินไปยังอะโพฟิส และติดตามมันไปพร้อมกับการบินผ่านโลกในช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ดาวเทียมขนาดเล็กดวงหนึ่งอาจมาจากเวิร์ซบวร์กและศึกษาดาวเคราะห์น้อยร่วมกับดาวเทียมดวงอื่น

 

แนวคิดที่สาม : ดาวเทียมขนาดเล็กที่สร้างขึ้นที่ JMU บินผ่านดาวเคราะห์น้อยเป็นเวลาสั้นๆ เมื่อเข้าใกล้โลกมากที่สุดและถ่ายภาพ นี่จะแสดงให้เห็นว่าภารกิจดังกล่าวเป็นไปได้ด้วยดาวเทียมขนาดเล็กราคาไม่แพง แต่เวลาในการสังเกตจะสั้นและความรู้ที่ได้รับอาจจะค่อนข้างน้อย ภารกิจนี้สามารถเริ่มต้นได้ไม่กี่วันก่อนการมาถึงของอะโพฟิส โดยด้วยสองแนวคิดแรก ดาวเทียมจะต้องถูกปล่อยเร็วขึ้นหนึ่งปี

 

จัดทำสถานการณ์จำลองภายในเดือนเมษายน 2568

ในโครงการ NEAlight ทีมงานของ Kayal จะวิเคราะห์ข้อกำหนดสำหรับสถานการณ์ภารกิจทั้งสามนี้อย่างละเอียด กำหนดสถาปัตยกรรมภารกิจพื้นฐาน และประเมินทางเลือกในการดำเนินการ นอกจากนี้ยังจะใช้แนวคิดทั้งสามนี้ในการพิจารณาทางเลือกในการสร้างดาวเทียมขนาดเล็กระหว่างดาวเคราะห์ในอนาคตที่บินไปยังดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกอื่น ๆ

 

โครงการนี้เปิดตัวเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2567 และจะดำเนินการเป็นเวลาหนึ่งปี ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ที่ศูนย์วิจัยสหวิทยาการเพื่อการศึกษานอกโลก (IFEX)

 

ที่มา : https://scitechdaily.com/asteroids-close-approach-exploring-apophis-with-cutting-edge-mini-satellites/

นักวิทย์เตือนภัยจาก AI “Deadbots”

“หลอกหลอน” ผู้เป็นที่รักจากนอกหลุมศพ

 

นักวิจัยของเคมบริดจ์เตือนถึงอันตรายทางจิตใจของ ‘deadbots’ ซึ่งเป็น AI ที่เลียนแบบบุคคลที่เสียชีวิต โดยการจำลองรูปแบบภาษา และลักษณะบุคลิกภาพของผู้ตาย โดยใช้รอยเท้าดิจิทัลที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งนักวิจัยได้เรียกร้องให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม และระเบียบการยินยอม เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยความเคารพ

 

โดยนักวิจัยพบว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อความและเสียงสนทนาของคนรักที่สูญเสียไปนั้นมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายทางจิตใจ และแม้กระทั่ง “หลอกหลอน” ทางดิจิทัลให้กับผู้ที่อยู่ข้างหลังโดยไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยในการออกแบบ

 

นักจริยธรรมด้าน AI จากศูนย์ Leverhulme Center for the Future of Intelligence ของเคมบริดจ์ สรุปสถานการณ์การออกแบบ 3 รูปแบบสำหรับแพลตฟอร์มที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของ “อุตสาหกรรมชีวิตหลังความตายแบบดิจิทัล” ที่กำลังพัฒนา เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ตามมาที่อาจเกิดขึ้นจากการออกแบบที่ประมาทเลินเล่อในด้าน AI ที่พวกเขาอธิบายว่า “มีความเสี่ยงสูง” ”

 

การใช้ AI Chatbots ในทางที่ผิด

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Philosophy and Technology เน้นย้ำถึงศักยภาพของบริษัทต่างๆ ที่จะใช้ deadbots เพื่อแอบโฆษณาผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ใช้ในลักษณะของคนที่คุณรักที่จากไป หรือทำให้เด็กๆ ทุกข์ใจ โดยการยืนกรานว่าพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วยังอยู่กับคุณ

 

ทั้งนี้ เมื่อผู้ที่เสียชีวิตได้ลงทะเบียนสมัครเข้าใช้บริการ AI เพื่อที่จะสร้างชีวิตใหม่หลังการตายแบบเสมือนจริง บริษัทต่างๆ อาจใช้แชทบอทที่เกิดขึ้น เพื่อส่งสแปมไปยังครอบครัวและเพื่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยการแจ้งเตือนที่ไม่พึงประสงค์ การแจ้งเตือน และการอัปเดตเกี่ยวกับบริการที่พวกเขามอบให้ คล้ายกับการถูก “คนตายสะกดรอยตาม” ทางดิจิทัล

 

แม้แต่ผู้ที่ชื่นชอบ ‘Deadbot’ ในช่วงแรก ที่เข้ามาช่วยบรรเทาความคิดถึงผู้ตาย แต่การที่มีปฏิสัมพันธ์ในแต่ละวันจะกลายเป็น “น้ำหนักทางอารมณ์ที่ล้นหลาม” แต่ครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังอาจไม่สามารถยกเลิกบริการ deadbots ได้ หากผู้เป็นที่รักซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วเซ็นชื่อทำสัญญากับบริการชีวิตหลังความตายแบบดิจิทัลไว้

 

ในปัจจุบัน มีแพลตฟอร์มที่เสนอให้บริการนี้ โดยเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เช่น ‘Project December’ ซึ่งเริ่มต้นจากการใช้โมเดล GPT ก่อนที่จะพัฒนาระบบของตัวเอง และแอปต่างๆ รวมถึง ‘HereAfter’ บริการที่คล้ายกันก็เริ่มเกิดขึ้นในประเทศจีนเช่นกัน หนึ่งในสถานการณ์ที่เป็นไปได้ในรายงานฉบับใหม่คือ “MaNana”: บริการ AI แบบสนทนาที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างหุ่นยนต์จำลองที่จำลองคุณยายที่เสียชีวิตโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจาก “ผู้บริจาคข้อมูล” (ปู่ย่าตายายที่เสียชีวิต)

 

โดยในช่วงแรกหลานที่เป็นผู้ใหญ่ที่รู้สึกประทับใจ และรู้สึกสบายใจกับเทคโนโลยีนี้ แต่ภายหลังเริ่มได้รับโฆษณาเมื่อ “การทดลองใช้แบบพรีเมียม” สิ้นสุดลง เช่น แชทบอทแนะนำการสั่งอาหารจากบริการส่งอาหารด้วยเสียงและลีลาของผู้ตาย ญาติคนดังกล่าวรู้สึกว่าบริษัทเหล่านี้ไม่เคารพความทรงจำของคุณยาย และปรารถนาที่จะปิด Deadbot เพราะผู้ให้บริการไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนเหล่านี้

 

ดร. Tomasz Hollanek นักวิจัยเคมบริดจ์กล่าว “ผู้คนอาจพัฒนาความผูกพันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งด้วยการจำลองดังกล่าว ซึ่งจะทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกบงการเป็นพิเศษ” “วิธีการและแม้กระทั่งพิธีกรรมในการเลิกใช้งาน Deadbots ในลักษณะที่มีเกียรติควรได้รับการพิจารณา ซึ่งอาจหมายถึงรูปแบบงานศพแบบดิจิทัล หรือพิธีประเภทอื่นๆ ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคม เราขอแนะนำโปรโตคอลการออกแบบที่ป้องกันไม่ให้ Deadbots ถูกใช้ในลักษณะที่ไม่เคารพ เช่น เพื่อการโฆษณาหรือการแสดงตนบนโซเชียลมีเดีย”

 

ดร. Katarzyna Nowaczyk-Basińska นักวิจัยที่ Leverhulme Center for the Future of Intelligence ของเคมบริดจ์ กล่าวว่า “ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ Generative AI หมายความว่าเกือบทุกคนที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีความรู้พื้นฐานสามารถชุบชีวิตผู้เป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วได้”

 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดลำดับความสำคัญของศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิต และให้แน่ใจว่าสิ่งนี้จะไม่ถูกบุกรุกโดยแรงจูงใจทางการเงินของผู้ให้บริการชีวิตหลังความตายแบบดิจิทัล ในขณะเดียวกัน บุคคลอาจทิ้งการจำลอง AI ไว้เป็นของขวัญอำลาคนที่คุณรัก ซึ่งไม่พร้อมที่จะจัดการกับความเศร้าโศกในลักษณะนี้ สิทธิของทั้งผู้บริจาคข้อมูล และผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับบริการชีวิตหลังความตายของ AI ควรได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียมกัน”

 

ในขณะที่ Hollanek และ Nowaczyk-Basińska กล่าวว่า กระบวนการออกแบบควรเกี่ยวข้องกับชุดคำสั่งสำหรับผู้ที่ต้องการ “ฟื้นคืนชีพ” ผู้ที่พวกเขารัก เช่น ‘คุณเคยพูดคุยกับผู้ตายบ้างไหมว่าพวกเขาอยากจะถูกจดจำอย่างไร’ ดังนั้นศักดิ์ศรีของผู้จากไปจึงอยู่เบื้องหน้า ในการพัฒนา Deadbots

 

อีกสถานการณ์หนึ่งที่นำเสนอในบทความนี้ ได้เน้นย้ำถึงตัวอย่างของผู้หญิงที่ป่วยหนักระยะสุดท้ายทิ้งหุ่นยนต์ที่จำลองชีวิตตัวเอง เพื่อช่วยเหลือลูกชายวัยแปดขวบของเธอเพื่อบรรเทาความโศกเศร้า แม้ว่า Deadbots จะช่วยในการบำบัดในตอนแรก แต่ AI ก็เริ่มสร้างการตอบสนองที่สับสนเมื่อปรับให้เข้ากับความต้องการของเด็ก เช่น การแสดงภาพการเผชิญหน้าต่อหน้า

 

ดังนั้น นักวิจัยจึงแนะนำข้อจำกัดด้านอายุสำหรับ deadbots และยังเรียกร้องให้มี “ความโปร่งใสที่มีความหมาย” เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ทราบอย่างสม่ำเสมอว่าพวกเขากำลังโต้ตอบกับ AI สิ่งเหล่านี้อาจคล้ายกับคำเตือนในปัจจุบันที่ต้องติดไว้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

 

สถานการณ์สุดท้ายที่สำรวจโดยการศึกษาวิจัย แสดงภาพจำลองให้เห็นถึงกรณีที่ผู้สูงอายุแอบทำสัญญาใช้บริการหุ่นยนต์ที่จำลองชีวิตของตัวเองหลังจากที่ตายไปแล้ว และจ่ายค่าสมัครสมาชิก 20 ปี โดยหวังว่าจะปลอบใจเด็กที่โตแล้วและปล่อยให้หลานๆ ของพวกเขาได้ รู้จักพวกเขา

 

หลังจากการเสียชีวิต บริการดังกล่าวก็เริ่มต้นขึ้น เด็กที่เป็นผู้ใหญ่หนึ่งคนไม่ได้มีส่วนร่วม และได้รับอีเมลจำนวนมากด้วยเสียงของพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งได้สร้างความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และความรู้สึกผิด แต่การระงับ deadbot จะเป็นการละเมิดเงื่อนไขของสัญญาที่ผู้ปกครองลงนามกับบริษัทผู้ให้บริการ

 

“เป็นสิ่งสำคัญที่บริการชีวิตหลังความตายแบบดิจิทัลจะต้องคำนึงถึงสิทธิ์และความยินยอม ไม่ใช่แค่ของคนที่ทำสัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์จำลองด้วย” Hollanek กล่าว

 

“บริการเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะสร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้กับผู้คน หากพวกเขาถูกหลอกหลอนทางดิจิทัลที่ไม่พึงประสงค์จากการจำลอง AI ที่แม่นยำอย่างน่าตกใจของผู้ที่พวกเขาสูญเสียไป ผลกระทบทางจิตวิทยาที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่แล้ว อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงได้”

 

นักวิจัยเรียกร้องให้ทีมออกแบบจัดลำดับความสำคัญของโปรโตคอลการเลือกไม่รับที่อนุญาตให้ผู้ใช้ยุติความสัมพันธ์กับบ็อตแบบปิดทางอารมณ์

 

Nowaczyk-Basińska เพิ่มว่า “เราต้องเริ่มคิดตั้งแต่ตอนนี้ว่าเราลดความเสี่ยงทางสังคมและจิตวิทยาของความเป็นอมตะทางดิจิทัลได้อย่างไร เนื่องจากเทคโนโลยีมาถึงแล้ว”

 

ที่มา : https://scitechdaily.com/cambridge-experts-warn-ai-deadbots-could-digitally-haunt-loved-ones-from-beyond-the-grave/

การศึกษาเซลล์ไขมันล่าสุด

พบกุญแจในการรักษาโรคอ้วน

 

การวิจัยล่าสุดเน้นให้เห็นถึงบทบาทที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อเยื่อไขมันส่วนเกินในการยับยั้งการสร้างเซลล์ไขมันใหม่ ซึ่งนำเสนอแนวทางใหม่ที่มีศักยภาพสำหรับการรักษาและการจัดการโรคอ้วนแบบกำหนดเป้าหมาย

 

การทำความเข้าใจโครงสร้างและการทำงานของเนื้อเยื่อไขมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดการกับโรคอ้วนและความผิดปกติของระบบเผาผลาญที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของเนื้อเยื่อไขมันหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าไขมันในร่างกายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งภายในร่างกาย

 

ตัวอย่างเช่น omentum: เนื้อเยื่อไขมันขนาดใหญ่คล้ายผ้ากันเปื้อนห้อยลงมาจากกระเพาะอาหารซึ่งปกคลุมอวัยวะภายในเยื่อบุช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหารและลำไส้ ไม่เพียงแต่กักเก็บไขมันเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่อีกด้วย

 

เนื้อเยื่อไขมันโอเมนทอลมีความเกี่ยวข้องกับรูปร่าง “แอปเปิ้ล” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อก้อนไขมันขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางเมตาบอลิซึม การขยายตัวนี้ไม่ได้เกิดจากการก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า adipogenesis แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการขยายขนาดของเซลล์ที่มีอยู่ กระบวนการนี้จะนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังและการดื้อต่ออินซูลิน

 

การวิจัยเกี่ยวกับไขมันโอเมนทอล

ความสามารถที่จำกัดของไขมันโอเมนทอลในการสร้างเซลล์ไขมันใหม่ ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจอยู่น้อย ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยศาสตราจารย์ Bart Deplancke จาก EPFL ได้วิจัยเนื้อเยื่อไขมันโอเมนทอลของมนุษย์ การค้นพบนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism นำเสนอมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสามารถที่จำกัดของไขมันโอเมนทอลในการสร้างไขมันส่วนเกิน และมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดการโรคอ้วน

 

นักวิจัยใช้ การจัดลำดับ RNA เซลล์เดียวขั้นสูง ในการวิเคราะห์เซลล์จากคลังไขมันของมนุษย์ แยกกลุ่มย่อยของเซลล์ต่างๆ และทดสอบความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเซลล์ไขมันใหม่ วิธีการนี้ระบุถึงจำนวนเซลล์ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันปกติ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายคุณสมบัติที่ผิดปกติของมัน เซลล์เหล่านี้เรียกว่าเซลล์ mesothelial

 

ในบรรดาเซลล์ mesothelial เหล่านี้ มีบางส่วนเปลี่ยนผ่านอย่างน่าประหลาดใกล้กับเซลล์มีเซนไคม์ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นเซลล์หลายประเภท รวมถึงเซลล์ไขมัน การเปลี่ยนแปลงแบบไดนามิกระหว่างสถานะเซลล์อาจเป็นกลไกสำคัญที่เซลล์เหล่านี้มีอิทธิพลต่อศักยภาพของ adipogenic ของเนื้อเยื่อไขมันปกติ

 

Radiana Ferrero หนึ่งในผู้เขียนหลักของการศึกษากล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือเรายังได้ค้นพบกลไกระดับโมเลกุลอย่างน้อยส่วนหนึ่ง ซึ่งประชากรเซลล์ omental ใหม่นี้ส่งผลต่อการเกิด adipogenesis” “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซลล์จะแสดงโปรตีนที่จับกับปัจจัยการเจริญเติบโตคล้ายอินซูลิน 2 [IGFBP2] ในระดับสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทราบกันว่ายับยั้งการสร้างไขมัน และหลั่งโปรตีนนี้ออกมาในสภาพแวดล้อมจุลภาคของเซลล์ สิ่งนี้จะส่งผลต่อตัวรับเฉพาะบนต้นกำเนิดไขมันและเซลล์ต้นกำเนิดในบริเวณใกล้เคียง ป้องกันไม่ให้พวกมันพัฒนาเป็นเซลล์ไขมันที่โตเต็มวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

Pernille Rainer นักวิจัยชั้นนำอีกคนหนึ่งของการศึกษานี้อธิบายว่า “การค้นพบนี้มีความหมายเชิงลึกในการทำความเข้าใจและอาจจัดการกับโรคอ้วนที่ไม่ดีต่อสุขภาพจากระบบเมตาบอลิซึม” “การรู้ว่าไขมันส่วนเกินมีกลไกในตัวเพื่อจำกัดการสร้างเซลล์ไขมันอาจนำไปสู่การรักษาใหม่ๆ ที่ปรับกระบวนการทางธรรมชาตินี้ นอกจากนี้ การวิจัยยังเปิดโอกาสสำหรับการรักษาแบบตรงเป้าหมายที่สามารถปรับพฤติกรรมของคลังไขมันโดยเฉพาะได้”

 

ที่มา : https://scitechdaily.com/new-cells-could-be-key-to-curing-obesity/

พายุสุริยะขนาดมหึมาพุ่งสู่โลก
รุนแรงที่สุดในรอบ 21 ปี

 

ดาวเคราะห์โลกกำลังสั่นสะเทือนจากพายุสุริยะครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ อาจส่งผลกระทบต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และดาวเทียม ตกอยู่ในภาวะอันตราย

 

องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration) ระบุว่า มีผลกระทบที่สามารถวัดได้และผลกระทบจากพายุแม่เหล็กโลกที่มองเห็นได้เป็นแสงออโรราทั่วทั้งแนวกว้างใหญ่ของซีกโลกเหนือ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ (11 พ.ค.) NOAA ยังไม่เห็นรายงานความเสียหายร้ายแรงใดๆ

 

อย่างไรก็ตาม NOAA ได้เตือนว่า อาจจะมีการเสื่อมถอยและสูญเสียระบบการสื่อสารที่ต้องอาศัยคลื่นวิทยุความถี่สูง รมทั้งผลกระทบเกี่ยวกับความผิดปกติในระบบไฟฟ้า ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบต่อดาวเทียม และยานอวกาศเนื่องจากพายุ S1-S2 เกิดขึ้นพร้อมกับพายุแม่เหล็กที่รุนแรงมากและยังคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนนี้ ในขณะที่ระบบ GPS บางตัวมีปัญหาในการล็อคตำแหน่งและเสนอตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง

 

ทั้งนี้ ตามที่ NOAA ได้เตือนเมื่อช่วงดึกของวันศุกร์ (10 พ.ค.) โลกกำลังประสบกับพายุแม่เหล็กโลกระดับ G5 หรือ “รุนแรง ” นับเป็นพายุ G5 ลูกแรกที่โจมตีโลกนับตั้งแต่ปี 2546 หรือในรอบ 21 ปี เมื่อเหตุการณ์คล้ายกันนี้ทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวในพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวีเดน และทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าในแอฟริกาใต้เสียหาย

 

ศูนย์ NOAA คาดการณ์ว่าพายุปัจจุบันนี้อาจกระตุ้นให้เกิดแสงออโรร่าที่มองเห็นได้ไกลออกไปทางใต้จนถึงแคลิฟอร์เนียตอนเหนือและแอละแบมา

 

สำหรับแหล่งกำเนิดของพายุสุริยะ คือ กลุ่มจุดดับบนผิวดวงอาทิตย์ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 เท่าของโลก จุดดังกล่าวเต็มไปด้วยสนามแม่เหล็กที่พันกัน ซึ่งได้ระเบิดอนุภาคที่มีประจุจำนวนมหาศาลมายังโลกของเรา เหตุการณ์เหล่านี้เรียกว่าการดีดมวลโคโรนา ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นในช่วงจุดสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ 11 ปี ของดวงอาทิตย์ และคาดการณ์ว่าคลื่นลูกไฟหลายลูกจะยังคงโจมตีโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งแม้ว่าพายุลูกนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่การคาดการณ์ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเรื่องยาก

 

พายุสุริยะที่สร้างความปั่นป่วนมากที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2402 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “เหตุการณ์แคร์ริงตัน” ทำให้เกิดแสงออโรร่าที่ส่องประกายซึ่งมองเห็นได้ไกลถึงเม็กซิโกและฮาวาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบโทรเลขไปทั่วยุโรปและอเมริกาเหนือ

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาจากพายุสุริยะในอดีตจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกเหมือนในปัจจุบันนี้ เพราะโลกได้พึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งมันสามารถเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าที่ไม่คาดคิดในสายไฟฟ้าระยะไกล กระแสเหล่านั้นอาจทำให้ระบบความปลอดภัยพลิกกลับ ทำให้เกิดไฟฟ้าดับชั่วคราวในบางพื้นที่

 

พายุยังมีแนวโน้มที่จะรบกวนชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยอนุภาคมีประจุ การส่งสัญญาณวิทยุทางไกลบางชนิดใช้บรรยากาศรอบนอกเพื่อ “สะท้อน” สัญญาณทั่วโลก และสัญญาณเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะถูกรบกวน อนุภาคยังอาจหักเหหรือแย่งสัญญาณจากระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก ตามที่ Rob Steenburgh นักวิทยาศาสตร์อวกาศจาก NOAA กล่าว ผลกระทบเหล่านั้นอาจคงอยู่ต่อไปอีกสองสามวันหลังเกิดพายุ

 

เช่นเดียวกับ Dahl Steenburgh กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดผลกระทบเลวร้ายเพียงใด แม้ว่าเราจะพึ่งพา GPS มากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็มีดาวเทียมอยู่ในวงโคจรมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ความผิดปกติจากพายุยังเคลื่อนตัวผ่านชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์อย่างต่อเนื่องเหมือนระลอกคลื่นในสระน้ำ “แม้จะโชคดีก็ตามที่ยังไม่เห็นผลกระทบรุนแรงในขณะนี้ แต่ก็ไม่ควรยืดเยื้อ” Steenburgh กล่าว

 

การแผ่รังสีจากพายุอาจมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ดาวเทียมที่อยู่ระดับวงโคจรที่สูงอาจเกิดความเสียหายได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวงโคจรทำให้เกิดความเสียหาย Tuija Pulkkinen หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและอวกาศแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนเตือน นับตั้งแต่การระเบิดของพายุสุริยะที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ เช่น SpaceX ได้เปิดตัวดาวเทียมหลายพันดวงสู่วงโคจรโลกระดับต่ำ ดาวเทียมเหล่านั้นจะเกิดการเปลี่ยนวงโคจรไปอย่างกะทันหัน รวมทั้งสถานีอวกาศนานาชาติตั้งอยู่ภายในสนามแม่เหล็กโลก ดังนั้นนักบินอวกาศจึงควรได้รับการปกป้องในระดับสูง

 

ในแถลงการณ์ NASA กล่าวว่านักบินอวกาศจะไม่ใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อปกป้องตนเอง “นาซาเสร็จสิ้นการวิเคราะห์กิจกรรมสภาพอากาศในอวกาศล่าสุดอย่างละเอียด และพบว่าไม่มีความเสี่ยงต่อลูกเรือบนสถานีอวกาศนานาชาติ และไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเพิ่มเติม” หน่วยงานกล่าวเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา

 

แม้ว่าพายุลูกนี้จะทำให้ผู้ให้บริการดาวเทียมและระบบสาธารณูปโภคยุ่งวุ่นวายในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากนัก เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตแต่อย่างใด โดยปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอาจเป็นไฟดับช่วงสั้นๆ ดังนั้นการพกไฟฉายและวิทยุติดตัวไว้อาจเป็นประโยชน์ได้

 

ที่มา : https://www.npr.org/2024/05/10/1250515730/solar-storm-geomagnetic-g4