AI ก้าวล้ำ! ตรวจหามะเร็ง 13 ชนิด แม่นยำ 98% หวังช่วยชีวิตผู้ป่วยนับล้าน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างความหวังครั้งใหม่ให้กับวงการแพทย์ทั่วโลก เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พัฒนา AI ที่สามารถตรวจหามะเร็งได้ถึง 13 ชนิด ด้วยความแม่นยำสูงถึง 98.2% จากตัวอย่างเนื้อเยื่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่อาจช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งได้นับล้านคนทั่วโลก
ถอดรหัส “เมทิลเลชั่น” คีย์สำคัญสู่การตรวจหามะเร็ง
งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Biology Methods & Protocols เผยว่ากุญแจสำคัญในการตรวจหามะเร็งด้วย AI อยู่ที่ “เมทิลเลชั่น” (Methylation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเติมหมู่เมทิลลงในดีเอ็นเอ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเมทิลเลชั่นนี้สามารถบ่งชี้ถึงการเกิดมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ทีมวิจัยได้ฝึกฝน AI ให้เรียนรู้รูปแบบเมทิลเลชั่นในดีเอ็นเอจากตัวอย่างเนื้อเยื่อของผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยปกติ จน AI สามารถแยกแยะความแตกต่างและระบุชนิดของมะเร็งได้อย่างแม่นยำ
AI ไม่ได้มาแทนที่หมอ แต่มาช่วยให้หมอเก่งขึ้น
แม้ AI จะมีความสามารถในการตรวจหามะเร็งได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาแทนที่แพทย์ได้ทั้งหมด แต่ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น
AI ทางการแพทย์ กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน AI กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค การวางแผนการรักษา หรือแม้กระทั่งการพัฒนายาใหม่ๆ ซึ่งความก้าวหน้าของ AI ทางการแพทย์นี้จะช่วยยกระดับการรักษาพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยทั่วโลก
AI ตรวจหามะเร็งนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา
อย่างไรก็ตาม AI ตรวจหามะเร็งที่พัฒนาขึ้นนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา และยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมกับตัวอย่างเนื้อเยื่อที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจในความแม่นยำและความปลอดภัยก่อนนำไปใช้จริงในทางคลินิก
อนาคตที่สดใสของ AI ในวงการแพทย์
แม้จะยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่า AI ตรวจหามะเร็งจะพร้อมใช้งานจริง แต่ความก้าวหน้านี้ได้จุดประกายความหวังให้กับวงการแพทย์และผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยและช่วยชีวิตผู้คนได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต