ไทยครองตลาดรถอีวีอาเซียน 80%
คาดยอดซื้อปี 67 ทะลุ 1.3 แสนคัน
หลังจากที่รัฐบาลได้ออกนโยบายสนับสนุนการลงทุน และการอุดหนุนตลาดรถยนต์อีวีภายในประเทศ ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีของไทย ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2563 มียอดจดทะเบียน 1,056 คัน ปี 2564 มีจำนวน 1,935 คัน ขยายตัว 83.24% ปี 2565 มีจำนวน 9,729 คัน ขยายตัว 402.79% และในปี 2566 มีจำนวนสูงถึง 76,314 คัน ขยายตัว 684% คิดเป็นสัดส่วน 12.02% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งในปี 2567 คาดว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์อีวี ไม่ต่ำกว่า 130,000 คัน หรือมีสัดส่วน 15% ของตลาดรถยนต์โดยรวม
สำหรับในภาพรวมการใช้รถยนต์อีวีของอาเซียน ได้เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2565 จากการวิจัยล่าสุดจากSEA Passenger Electric Vehicle Model Sales Trackerของ Counterpoint ส่วนแบ่งของ BEV มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 สูงถึง 3.8% เมื่อเทียบกับเพียง 0.3% ในปี 2565 โดยประเทศไทยกลายเป็นประเทศชั้นนำมียอดขาย BEV กินสัดส่วนกว่า 78.7% ของยอดรวมในอาเซียนทั้งหมด ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 8% เวียดนาม 6.8% สิงคโปร์ 4.1% มาเลเซีย 2.4% และฟิลิปปินส์ 0.04%
ในส่วนของการลงทุนตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยตัวเลขการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์อีวีในประเทศไทย ล่าสุดในปี 2566 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น
รถยนต์อีวี 18 โครงการ 40,004 ล้านบาท
รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ 848 ล้านบาท
รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ 2,200 ล้านบาท
แบตเตอรี่สำหรับรถอีวีและระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) 39 โครงการ 23,904 ล้านบาท
ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ 6,031 ล้านบาท
สถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ 4,205 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากมาตรการดึงดูดการลงทุนที่ดี และการที่ไทยมียอดขายรถยนต์อีวีที่สูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนเป็นอย่างมาก ส่งผลบวกให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ EV ทั้งในรายที่เข้ามาลงทุนแล้ว กำลังเตรียมตัวเข้ามาลงทุนในปี 2567มากกว่า 30 บริษัท แต่ทั้งนี้ต้องจับตาประเทศอินโดนีเซียเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจุดแข็งในเรื่องของขนาดตลาด และแหล่งแร่นิกเกิน รวมทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียก็ได้เร่งปรับปรุงนโยบายดึงดูดการลงทุนจนเป็นคู่แข่งในด้านการเป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากไทยปรับตัวได้เร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ก็จะทำให้ไทยยังคงเป็นผู้นำในด้านการผลิตรถยนต์ และรถยนต์อีวี ต่อไปได้ในอนาคต