จากกระแสข่าวที่ร้อนแรงในเรื่องของบริษัท Seven & I Holdings ที่เป็นบริษัทแม่ของ 7-Eleven ได้เข้ามาทาบทาม ซีพีออล และบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นอีกหลายราย ให้เข้ามาร่วมลงทุนซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อนำ Seven & I Holdings ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ป้องกันการถูกซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard ของแคนาดา ที่ไม่ลดละในการเข้าซื้อ Seven & I Holdings มาอย่างต่อเนื่อง
โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า CPALL อาจตั้งกิจการค้าร่วม เพื่อจะเข้าบริหารจัดการซื้อกิจการ Seven & i โดยมี Citi และ Bank of America (BofA) เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินหลักของกลุ่ม โดยคาดว่า CPALL อาจเข้าซื้อกิจการสัดส่วนที่เป็นมูลค่าประมาณ 500,000 ล้านเยน หรือประมาณ 110 ,000 ล้านบาท จะเท่ากับว่า CPALL จะเข้าถือหุ้นอยู่ที่ราว 5.6%
จากสัดส่วนดังกล่าว จะทำให้ CPALL เข้าถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจาก อันดับ 1 ธนาคารมาสเตอร์ทรัสต์แห่งประเทศญี่ปุ่น จำกัด ถือหุ้น 15.74% อันดับ 2 บริษัท อิโต-โคเกียว จำกัด ซึ่งเป็นตระกูลที่บริหาร Seven & I Holdings ถือหุ้น 8.16% และหากดีลนี้สำเร็จ CPALL จะถือหุ้นเป็นอันดับ 3 ที่ 5.6% ซึ่งจะทำให้ CPALL ก้าวข้ามจากการเป็นยักษ์ใหญ่ค้าปลีกระดับภูมิภาคไปสู่การเป็นบริษัทค้าปลีกระดับโลก ภายใต้แบรนด์ 7-Eleven ที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 84,000 แห่งใน 20 ประเทศทั่วโลก
และ 7-Eleven ยังมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมอีกด้วย โดยในเดือนเมษายน 2024 Seven & I ได้ประกาศตั้งเป้าที่จะขยายเป็น 100,000 ร้านค้าใน 30 ประเทศ ภายในปี 2030 โดยส่วนหนึ่งจะเปิดร้านค้าในยุโรป ละตินอเมริกา ตะวันออกกลางและแอฟริกา และดำเนินการ ควบรวมกิจการและซื้อกิจการอย่างเข้มข้นในอเมริกาเหนือ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเจรจาธุรกิจครั้งนี้จะยังไร้ข้อสรุป และหากประสบความสำเร็จ ก็ใช่เป็นเป็น ดีลการค้าที่สวยหรู เพราะจะต้องแลกมาด้วยการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพื่อแลกกับผลกำไรที่ไม่มาก แต่ในภาพรวมแล้ว CPALL ก็ยังคงความแข็งแกร่ง มีการเติบโตที่ต่อเนื่อง
หลังจากนี้ก็จะต้องมาดูว่าในความเสี่ยงนี้ CPALL จะยอมแลกมาหรือเปล่า เพื่อให้ได้เป็นผู้เล่นในตลาดค้าปลีกระดับโลก และยังเป็นตัวช่วยในการกระจายสินค้าของเครือ ซีพี และของไทย ให้กระจายไปสู่ทั่วทุกมุมโลกได้ในอนาคต ซึ่งหากผลการเจรจาได้รับข้อเสนอที่ดีตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ CPALL เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และเป็น 1 ในบริษัทชั้นนำของไทย ที่ยกระดับไปสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจระดับโลก
สำหรับ ประวัติของธุรกิจ 7-Eleven ก็มีตำนานที่ยาวนาน เริ่มกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1927 บริษัทโรงน้ำแข็งหลายแห่งที่จำหน่ายน้ำแข็งแท่งสำหรับถนอมอาหารให้แก่ครัวเรือนที่ไม่มีตู้เย็นไฟฟ้า ได้รวมกิจการกันเพื่อก่อตั้งบริษัท Southland Ice Company ในดัลลาส สหรัฐอเมริกา โดยโรงน้ำแข็งแห่งหนึ่งเริ่มขายอาหารหลังจากการควบรวมกิจการไม่นาน Southland Ice ก็เริ่มขายปลีกทั่วไป โดยใช้ชื่อร้านว่า Tote’m Stores ซึ่งมี โจ ซี. ทอมป์สัน ซีเนียร์ ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท Southland Ice ในปี 1931
ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่บริษัทแห่งนี้ต้องประสบภาวะล้มละลายแต่กลับมาเน้นหนักที่อาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากมีการยกเลิกกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราในปี 1933 ซึ่งเป็นช่วงที่เบียร์และสุราเริ่มวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก และในปี1946 ร้านค้าต่างๆ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 7-Eleven เพื่อเน้นย้ำถึงเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึง 23.00 น. หรือ หรือ 07:00 AM.-11:00 PM. เจ็ดวันต่อสัปดาห์
ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เซาท์แลนด์เริ่มขยายกิจการไปเกินขอบเขตเท็กซัส โดยเปิดร้าน 7-Eleven ไปที่ชายฝั่งตะวันออก โดยจอห์น พี. ทอมป์สัน บุตรชายของโจเซฟ ทอมป์สัน ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทในปีพ.ศ. 2504 และขยายการดำเนินงานต่อไปในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ เริ่มตั้งแต่ปี 1963 เป็นต้นมา ร้านค้าบางแห่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
จากนั้นในปี 1964 บริษัทได้เริ่มเปิดร้านแฟรนไชส์ 7-Eleven และได้เปิดตัว Slurpee เครื่องดื่มแช่แข็งในปี 1966 ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของบริษัทและยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 1976 7-Eleven ได้เปิดตัว Big Gulp แก้วใส่เครื่องดื่มขนาด 32 ออนซ์ (946 มล.) หลังจากที่ Big Gulp ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม บริษัทจึงได้เพิ่ม Gulp ขนาดใหญ่กว่าเดิม
การขยาย 7-Eleven ออกไปทั่วโลก
Southland ได้อนุญาตให้บริษัทในเครือในญี่ปุ่นเปิดดำเนินการในปี 1973 และในปี 1974 ก็มีสาขาทั่วโลกถึง 5,000 แห่ง บริษัทได้ขยายกิจการจากร้านอาหาร เครื่องดื่ม และร้านสะดวกซื้อไปสู่ธุรกิจอื่นๆ โดยซื้อกิจการต่างๆ เช่น Chief Auto Parts ในปี 1978 เนื่องจากร้านค้าหลายแห่งของบริษัทยังทำหน้าที่เป็นสถานีบริการน้ำมันด้วย Southland จึงได้ซื้อ CITGO Petroleum ในปี 1983 ในฐานะซัพพลายเออร์ และในปี 1986 บริษัทได้ขายหุ้น 50% ใน CITGO
ในช่วงรุ่งเรืองของการเข้ายึดบริษัทต่างๆ ในทศวรรษ 1980 ซามูเอล เบลซ์เบิร์ก นักการเงินชาวแคนาดาขู่ว่าจะเข้าซื้อกิจการเซาท์แลนด์อย่างไม่เป็นมิตร เพื่อตอบโต้ ครอบครัวทอมป์สันจึงเข้าซื้อกิจการด้วยเงินกู้ในเดือนธันวาคม 1987 บริษัทในเครือหลายแห่ง รวมถึง Chief Auto Parts ถูกขายออกไปเพื่อชำระหนี้ก้อนใหญ่ที่เกิดจากการซื้อหุ้นคืน ต่อมาบริษัทล้มละลายเป็นครั้งที่สองในปี 1990 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ขายหุ้น CITGO ที่เหลือครึ่งหนึ่ง
จากนั้นบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นในปีถัดมา โดยมีบริษัท Ito-Yokado ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่น และบริษัท Seven-Eleven Japanซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตจากญี่ปุ่นถือหุ้นร้อยละ 70 และในปี 1999 Southland Corp. ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 7-Eleven, Inc. บริษัทยังคงขยายตัวต่อไปโดยเปิดร้านสะดวกซื้อแห่งที่ 25,000 ในปี 2003 และในปี 2005 อิโตะ-โยคาโดะ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท ได้ก่อตั้ง Seven & I Holdings และใช้บริษัทดังกล่าวในการซื้อกิจการ 7-Eleven สำนักงานใหญ่ของ 7-Eleven ยังคงอยู่ในพื้นที่ดัลลาส แม้ว่า Seven & I Holdings จะตั้งอยู่ในโตเกียวก็ตาม
7-Eleven วันนี้
7-Eleven ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ในช่วงทศวรรษ 2010 นอกจากนี้ 7-Eleven ยังสร้าง Evolution Stores เพื่อทดลองอาหาร ผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติ และบริการใหม่ๆ ส่งผลให้ 7-Eleven ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในขณะที่บริษัทยังคงเข้าซื้อกิจการอื่นๆ
โดยในเดือนมกราคม 2018 7-Eleven เริ่มเข้าซื้อร้าน Stripes ในเท็กซัสและลุยเซียนาการเข้าซื้อร้านกว่า 1,000 ร้านรวมถึง Laredo Taco Company ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้จำหน่ายอาหารสไตล์เม็กซิกันของ 7-Elevenในเดือนมีนาคม 2020 7-Eleven ได้เปิดตัว Raise the Roost Chicken & Biscuits ซึ่งเป็นร้านอาหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในร้านค้าบางแห่ง โดยมีเมนูไก่และบิสกิตที่ปรุงสำเร็จและสั่งทำพิเศษให้เลือกมากมาย
7-Eleven ได้เข้าซื้อร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมัน Speedway จากMarathon Petroleum Corporationในรัฐโอไฮโอในเดือนพฤษภาคม 2021 การเพิ่มสาขา 3,800 แห่งของ Speedway ทำให้จำนวนร้านค้าที่ดำเนินการโดย 7-Eleven ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 13,000 แห่ง โดยอาศัยแนวคิดในการให้บริการรับประทานอาหารภายในร้าน และบริษัทได้เปิดตัวร้านค้าประเภทใหม่ในรัฐเทนเนสซีในเดือนสิงหาคม 2021 โดยรวม Raise the Roost และ Laredo Taco Company ไว้ในอาคารเดียวกัน ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 7-Eleven ได้ทำข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการซื้อสถานที่ Stripes และ Laredo Taco Company เพิ่มเติมจากSunoco LP ซึ่งตั้งอยู่ในดัลลาส
ในเดือนสิงหาคม 2024 Seven & I ได้รับข้อเสนอให้เข้าซื้อกิจการโดย Alimentation Couche-Tard ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อในแคนาดา ในราคาที่ไม่เปิดเผย Alimentation Couche-Tard ดำเนินกิจการร้านค้ามากกว่า 14,000 แห่งภายใต้แบรนด์ Circle K, On the Run และ Couche-Tard ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ไอร์แลนด์ เม็กซิโก รัสเซีย โปแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก หลังจากคณะกรรมการพิเศษ (จัดตั้งโดย Seven & I) พิจารณาข้อตกลงดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการบริหารของบริษัทได้ปฏิเสธข้อเสนอของ Couche-Tard อย่างเป็นทางการ
แหล่งข้อมูล https://www.7andi.com/en/ir/stocks/overview.html