สอวช. เร่งสร้างธุรกิจนวัตกรรม 1 หมื่นราย
เพิ่มรายได้ให้กับประเทศ 1 ล้านล้านบาท
ปัญหาหลักที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมาอย่างยาวนาน ก็คือการพึ่งพาเทคโนโลยี และนวัตกรรมจากต่างชาติมากจนเกินไป และขาดการผลิตเทคโนโลยีของตัวเอง และนำเอานวัตกรรมที่สร้างขึ้นภายในประเทศมาต่อยอดสร้างมูลค่าทางการค้า แต่หลังจากที่ได้ก่อตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ก็เริ่มเดินหน้าผลักดันให้มหาวิทยาลัยทำการวิจัยและสร้างนวัตกรรมภายในประเทศร่วมกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศในทุกด้าน
โดย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยว่า สอวช. มีเป้าหมายนำเอาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. มาขับเคลื่อนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานไว้ 5 ทิศทาง คือ ทิศทางที่ 1 ยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยมีเป้าหมาย 2 ประการคือ เป้าหมายที่ 1 ทำให้คนไทยมีรายได้สูงขึ้น เฉลี่ย 400,000 บาท/คน/ปี
เป้าหมายที่ 2 การกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ซึ่งวิธีการขับเคลื่อนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายจะต้องเน้นการพัฒนานวัตกรรม คือการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม หรือ Innovation Driven Enterprise (IDE) โดยเน้นการพัฒนามาตรการและกลไกส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจนวัตกรรม สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดผ่านกลไกสำคัญ เช่น การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาค การส่งเสริมศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และส่งเสริมการจัดตั้ง Holding Company ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมและ Deep-tech Startups รวมถึงการปลดล็อกให้หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะองค์การมหาชนในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้สามารถร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมได้จริง
หนุนมหาวิทยาลัย สร้างธุรกิจนวัตกรรม 1 พันราย เพิ่มรายได้ 1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มที่เน้นและให้ความสำคัญมาก คือ กลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จะเป็นอนาคตของประเทศ โดยในกลุ่มนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการให้ได้ 1,000 ราย โดยมีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่รายละ 1,000 ล้าน ก็จะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ 1 ล้านล้านบาท ได้ภายในปี 2570
สำหรับแนวทางการสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมให้เติบโตแบบก้าวกระโดด จะส่งเสริมให้จัดตั้ง Holding Company ในมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย โดยมีสถานะเป็นนิติบุคคลให้สามารถร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมได้ ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งบริษัท ชื่อว่า บริษัท ซี ยู เอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด (CU Enterprise) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง Deep-Tech Startup ต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่ในคณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่สังคม
โดยดำเนินงานร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) ในการให้คำแนะนำบ่มเพาะผู้ประกอบการ ระดมทุน รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทสปินออฟ (University Spin-offs) ที่ดำเนินงานโดยคณาจารย์และนักวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันมีบริษัทสตาร์ทอัพ 354 ทีม และมีบริษัทสปินออฟเกิดขึ้นแล้ว จำนวน 100 บริษัท สร้างมูลค่าทางการตลาด กว่า 22,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการรวมตัวกันของนักวิจัยก่อตั้งชมรม Club Chula Spin-off มีสมาชิกกว่า 200 คน ที่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือนักวิจัยรุ่นใหม่ที่จะเริ่มประกอบการธุรกิจต่อไป
ส่วน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้ง Angkaew Holding Company และบริษัทในเครือ เช่น Angkaew Start up มหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดตัวบริษัท ทีเอสยู เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งบริษัทร่วมทุนสตางค์ จำกัด (STANG Holding Company) เพื่อร่วมทุนในผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้จัดตั้ง บริษัท เคยูนิเวิร์ส จำกัด เป็นต้น โดยแนวทางนี้จะขยายตัวไปในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ทั่วประเทศต่อไป ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ที่ใช้นวัตกรรมกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยนำจุดเด่นในพื้นที่มาสร้างเป็นนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าต่อไปในอนาคต
Reskill/Upskill แรงงาน ยกระดับไปสู่งานรายได้สูง
ทิศทางที่ 2 การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย สอวช. จะเน้นการออกแบบกลไกสนับสนุนการยกสถานะทางสังคมของคนหรือครัวเรือน ในประชากรฐานราก 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเยาวชน ให้มีหลักประกันโอกาสทางการศึกษาและเข้าสู่เส้นทางอาชีพ โดยการพัฒนา Inclusive Higher Education Platform เพื่อให้มีโอกาสใช้ประโยชน์ หรือเข้าถึงการอุดมศึกษาที่เหมาะสม อีกกลุ่ม คือ คนวัยทำงาน ให้สามารถเข้าถึงตำแหน่งงานทักษะกลาง-สูง โดยเน้นยกระดับศักยภาพแรงงานเชื่อมโยงสู่การจ้างงาน โดยใช้กลไกการพัฒนากำลังคน Reskill/Upskill Account เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรค่าตอบแทนสูงหรือ Premium Workers
รวมทั้งกระตุ้นการจ้างงานแรงงานกลุ่มฐานรากผ่านการอุดหนุนค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายในการอบรม ร่วมกับภาคเอกชน และกลุ่มสุดท้ายคือ ผู้ประกอบการชุมชน โดยส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการชุมชน สร้างเครือข่ายที่มีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนศึกษาแนวทางการขยายพื้นที่ดำเนินงานในระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด และมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
นำ “เทคโนโลยี – นวัตกรรม” เพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชนแบบก้าวกระโดด
ในส่วนของเศรษฐกิจฐานราก มีหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่จะทำให้คนในจังหวัดที่อยู่ในระดับยากจนสามารถยกระดับขึ้นด้วยตัวของเขาเอง โดยใช้มหาวิทยาลัยในพื้นที่มาเป็นพี่เลี้ยง นำเอางานด้านความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เข้าไปหนุนในการพัฒนาอาชีพ ซึ่งเมื่อเรานำนวัตกรรมใส่ลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณภาพสินค้าจะเกิดการพัฒนาขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เสื่อกระจูด จากเดิมราคาเสื่อผืนละ 100-150 บาท พอเอานักออกแบบลงไปช่วยพัฒนาให้เป็นกระเป๋าส่งไปขายในห้างสรรพสินค้า ขายในตลาดวัฒนธรรม ราคาเพิ่มขึ้นถึง 3,000-5,000 บาทต่อใบ เป็นต้น
การนำเอาวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำเป็นตลาดวัฒนธรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นเข้ามา ประชาชนที่ผลิตสินค้าพื้นเมืองก็สามารถขายได้ มีเงินหมุนเวียนและกระจายรายได้สู่ชุมชน อย่างตลาดวัฒนธรรมที่ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดตลาดครั้งหนึ่งมีเงินหมุนเวียนประมาณ 500,000-600,000 บาท ถึงตอนนี้จัดกันมาเกือบสองร้อยครั้ง เพราะฉะนั้นเงินหมุนเวียนในพื้นที่ก็อยู่หลักร้อยล้านบาทแล้ว ซึ่งตลาดวัฒนธรรมในลักษณะนี้ ที่ผ่านมา บพท.ได้ดำเนินการให้เกิดขึ้นไปแล้วประมาณ 50- 60 จังหวัด
ตั้ง “สระบุรีโมเดล” หวังลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์
สำหรับ ทิศทางที่ 3 ได้ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทียบเท่า โดย สอวช. ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการให้ปรับตัวตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและสอดคล้องกับมาตรการของนานาชาติ โดยตั้งเป้าหมายการทำงาน “50% ของบริษัทส่งออกบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และมีแผนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” โดยมีแนวทางการขับเคลื่อน ผ่านการสร้างเมืองต้นแบบที่ จ.สระบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
โดยได้ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม คือ สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย ส่วนราชการองค์กรปกครองท้องถิ่นและภาคประชาชน จะสร้างระบบเมืองน่าอยู่เชิงนิเวศน์ พัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว การเกษตรที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการทำงานของวิสาหกิจชุมชน ถ้าทำที่จังหวัดสระบุรีได้ ต่อไปก็สามารถขยายผลไปพื้นที่อื่น ๆ ได้เช่น อ.แม่เมาะ และพื้นที่ EEC เช่น จ.ระยอง เป็นต้น อีกแนวทางหนึ่ง คือ การพัฒนาให้เกิดมหาวิทยาลัยสีเขียว พัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัยในบทบาทผู้ให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาคส่วนต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือของมหาวิทยาลัยในการลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย และขยายการให้บริการออกไปสู่สังคมด้วย
“ในมุมของ สอวช. เราทำ 2 อย่าง อย่างที่หนึ่ง คือ เราลงไปดูเป็นรายพื้นที่ ที่เราเรียก Area-Based ปัจจุบันเราเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการซีเมนต์ไทยที่ จ.สระบุรี เราก็เอาสิ่งที่เป็น อววน. เข้าไปหนุนเขา ส่งทีมงานเข้าไปช่วยทำเรื่องแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยี เข้าไปดูเรื่อง Energy Transition ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานที่จะใช้ รวมถึงดูเรื่องของกระบวนการภายในภาคอุตสาหกรรมว่าถ้าจะปรับระบบการผลิตต่าง ๆ จะสามารถผลิตด้วยเทคโนโลยีที่สะอาดขึ้นได้อย่างไร และมีหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยในการสร้างนวัตกรรมเข้าไปร่วมด้วย ตอนนี้เริ่มที่ จ.สระบุรี ซึ่งเวลาที่เราทำตามรายจังหวัดแบบนี้ เราไม่ได้ดูเฉพาะอุตสาหกรรมแต่ดูเรื่องของภาคชุมชนและภาคเกษตรควบคู่ไปด้วย อย่างภาคเกษตรเรามีหน่วยงานที่เรียกว่า บพท. เข้าไปสนับสนุนเกษตรกรในการเพาะปลูกพืชด้วยระบบใหม่ ๆ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ก็ไปช่วยเรื่องการนำเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาช่วยเรื่องการจัดการขยะแบบครบวงจร มีการดึงประชาชนในพื้นที่มาทำงานร่วมกัน ทำแบบมีส่วนร่วม และสร้างความตระหนัก ทำให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาน้อย เมื่อเรามีจังหวัดต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ อนาคตการขยายโมเดล “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก” ดร.กิติพงค์ กล่าว
เพิ่มแรงงานทักษะสูง 25% ในปี 2570
ทิศทางที่ 4 สัดส่วนแรงงานทักษะสูง เพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2570 โดย สอวช. ได้ออกแบบระบบสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์ม Upskill/Reskill/New Skill (URN) : STEM One Stop Service (STEM-OSS) ระบบการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศไทย (E-Workforce Ecosystem (EWE) Platform) ที่เป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญด้านกำลังคนสมรรถนะสูง เพื่อต่อยอดและนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนากำลังคนของประเทศ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานและอุตสาหกรรมในอนาคต