#Boston Dynamics #บอสตัน ไดนามิก #หุ่นยนต์ #ฮิวแมนนอยด์ #Marc Raibert

เปิดตำนาน “Boston Dynamics”

ผู้นำเทคโนโลยี ฮิวแมนนอยด์

 

หุ่นยนต์ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่หุ่นยนต์ในโรงงานที่ไม่ค่อยเหมือนมนุศย์มากนัก เป็นเพียงแขนขนาดใหญ่ที่ใช้หยิบจับเชื่อมต่อโลหะได้อย่างอิสระ จากนั้นก็ค่อย ๆ รุกคืบเข้ามาในครัวเรือนในฐานะหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก จนในปัจจุบันก็เริ่มมีแขน ขา ใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเข้ามาช่วยงานในบ้านเรือน ซึ่งถึงแม้จะเป็นสิ่งใหม่ แต่มั่นใจได้ว่าจะเป็นมาตรฐานปกติในอนาคต ที่บ้านเรือนส่วนใหญ่จะมีหุ่นยนต์เข้ามาใช้งาน

 

โดยหนึ่งในผู้บุกเบิกหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ หรือหุ่นยนต์ที่เลียนแบบมนุษย์ ก็คือ Boston Dynamics โดยมีจุดเริ่มต้นจาก Marc Raibert เขาเกิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ได้เขาเข้าเรียนที่ North Eastern University เพื่อรับปริญญาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากนั้น Raibert ก็ไปเรียนต่อที่ MIT เพื่อศึกษาระดับปริญญาเอก ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาในปี 1977 ไม่กี่ปีต่อมา เขาทำงานในห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนด้วยไอพ่นของ NASA

 

แต่หลังจากนั้นในปี 1980 ก็ลาออกจาก NASA เพื่อเป็นรองศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ในภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ ในปี 1986 เขาร่วมงานกับ MIT ในตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์

 

ในขณะที่ทำงานที่ MIT  Marc Raibert ได้ก่อตั้ง Leg Lab ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์แบบมีขาที่มีไดนามิกสูง เดิมที Raibert ก่อตั้ง Leg Lab ในมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (CMU) แต่ต่อมาเขาย้ายไปที่ MIT

 

โดย แนวคิดเรื่องไดนามิกของบอสตันเกิดขึ้นจาก Leg Lab นี้ ในปี 1992 เขาได้ก่อตั้งบริษัท Boston Dynamics ซึ่งเป็นบริษัทด้านการจำลองและวิทยาการหุ่นยนต์ โดยเป็นสาขาย่อยของ MIT Leg Lab

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างหุ่นยนต์เช่น Atlas, BigDog, SpotMini และ Handle ทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความคล่องตัวและความคล่องแคล่วที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของสัตว์ แม้ว่า Boston Dynamics จะใช้เวลากว่าทศวรรษในการพัฒนาหุ่นยนต์ตัวแรก แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในการสร้างหุ่นยนต์ฮิวเมนนอยด์ตามมาอีกมาก

Atlas

ในช่วงปีแรก ๆ ของ Boston Dynamics มีสำนักงานใหญ่ในเมืองวอลแทม และเริ่มมีชื่อเสียงจากการพัฒนา BigDog ซึ่งเป็นหุ่นยนต์สี่ขาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ บริษัทได้รับเงินทุนจาก DARPA (Defence Advanced Research Agency) สำหรับโครงการนี้ นอกจากนี้ยังพัฒนา DI-Guy ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สำหรับการจำลองมนุษย์ที่สมจริงในช่วงปีแรก ๆ

 

ในปีต่อๆ มา บริษัทได้ทำงานร่วมกับ American Systems Corporation ภายใต้สัญญาที่ได้รับจาก NAWCTSD (แผนกระบบการฝึกอบรมศูนย์สงครามทางอากาศทางเรือ) บริษัท American Systems Corporation ดำเนินการเพื่อทดแทนวิดีโอการฝึกกองทัพเรือด้วยการจำลองคอมพิวเตอร์ 3 มิติแบบโต้ตอบซึ่งมีตัวละคร DI-Guy

 

ในช่วงที่ Boston Dynamics ทำงานให้กับ DARPA และ Pentagon เป็นหลัก ได้รับเงินทุนในรูปแบบของทุนวิจัย ในระหว่างการร่วมมือกับ DARPA บริษัทมุ่งเน้นไปที่การวิจัยพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการใช้งานทางทหารเป็นหลัก ในช่วงเวลานี้ บริษัทกลายเป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมจริงและสามารถสำรวจภูมิประเทศที่ยากลำบากได้

 

หลังจากนั้นในปี 2013 Boston Dynamics ถูกซื้อกิจการโดย Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ในราคาที่ไม่เปิดเผย พร้อมด้วยบริษัทหุ่นยนต์อีก 8 แห่ง ก่อนการซื้อกิจการ Google มีข่าวฟแผนการสร้างแผนกหุ่นยนต์  ดังนั้นบริษัทหุ่นยนต์ทั้ง 9 แห่งจึงได้เป็นส่วนหนึ่งของ Replicant ซึ่งเป็นแผนกหุ่นยนต์ใหม่ของ Google ซึ่งนำโดย Andy Rubin ผู้ร่วมก่อตั้ง Android

 

หลังจากการซื้อกิจการบริษัทหุ่นยนต์ 9 แห่ง รวมถึง Boston Dynamics ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการวิจัยภายใต้ Andy Rubin แต่ในเดือนตุลาคม 2014 หรือภายในหนึ่งปีของการก่อตั้งแผนกหุ่นยนต์ Andy Rubin ออกได้ลาออกจาก Google ก่อให้เกิดสุญญากาศความเป็นผู้นำในแผนกหุ่นยนต์ของ Google

 

ทำให้พนักงานหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับโครงการหุ่นยนต์ที่ Google จะดำเนินการหลังจากการจากไปของ Andy Rubin ในเดือนมกราคม 2558 James Kuffner ผู้ร่วมก่อตั้ง Replicant ก็ลาออกจากบริษัทเช่นกัน

 

ไม่มีใครรู้ว่า Google ต้องการทำอะไรกับแผนกหุ่นยนต์ของตน หลายคนในอุตสาหกรรมคาดเดากันว่า Google ต้องการพัฒนาหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้งานง่ายและราคาไม่แพง แต่ Boston Dynamics ไม่สนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากนัก

 

ดังนั้นวิสัยทัศน์ของทั้งสองบริษัทจึงแตกต่างกันอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริหารของ Alphabet ยังตระหนักว่า Boston Dynamics จะไม่สร้างรายได้มากนักในเร็วๆ นี้  หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ลดการลงทุนในโครงการวิจัยที่มีความทะเยอทะยานนี้ เป็นผลให้ทั้งสองบริษัทไม่สามารถประนีประนอมผลประโยชน์ของตนได้ ซึ่งนำไปสู่การแยกทางกันในที่สุด

 

ทั้งนี้ ข่าวที่ว่าGoogle ยินดีที่จะขาย Boston Dynamics นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559 มีการคาดเดามากมายเกี่ยวกับผู้ซื้อที่มีศักยภาพ ในที่สุด ในเดือนมิถุนายน 2560 SoftBank บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีของญี่ปุ่นได้ซื้อบริษัทหุ่นยนต์จาก Alphabet ในราคาที่ไม่เปิดเผย

 

โดยทั้งสองบริษัทดูเหมือนค่อนข้างจะเป็นบวกเกี่ยวกับการซื้อกิจการครั้งนี้  ภายหลังการซื้อกิจการ Masayoshi Son ประธานและซีอีโอของ SoftBank Group Corp. กล่าวว่า “หุ่นยนต์อัจฉริยะจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในขั้นต่อไปของการปฏิวัติข้อมูล และ Marc และทีมงานของเขาที่ Boston Dynamics คือผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ชัดเจน ในหุ่นยนต์ไดนามิกขั้นสูง”

 

เขากล่าวเสริมว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับพวกเขาเข้าสู่ครอบครัว SoftBank และหวังว่าจะได้สนับสนุนพวกเขาในขณะที่พวกเขายังคงพัฒนาด้านวิทยาการหุ่นยนต์และสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเติมเต็มมากขึ้น”

 

โดย Marc Raibert ซีอีโอของ Boston Dynamics ยังแสดงความยินดีด้วยคำพูดต่อไปนี้ ” พวกเราที่ Boston Dynamics รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญของ SoftBank และจุดยืนในการสร้างการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งต่อไป และเราแบ่งปันความเชื่อของ SoftBank ที่ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีควรจะมุ่งไปสู่การสร้างประโยชน์ของมนุษยชาติ เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับ SoftBank ในภารกิจของเราในการผลักดันขอบเขตของสิ่งที่หุ่นยนต์ขั้นสูงสามารถทำได้ และเพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่มีประโยชน์ในโลกที่ชาญฉลาดและเชื่อมต่อกันมากขึ้น”

 

อย่างไรก็ตาม ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในเดือนธันวาคม 2563 Hyundai Motor Groupได้เข้าซื้อหุ้น 80% ของ Boston Dynamics จาก SoftBank เป็นมูลค่าประมาณ 880 ล้านดอลลาร์ และในเดือนมิถุนายน ปี 2564 ได้ประกาศว่าฮุนไดเข้าควบคุมสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ ทอย่างเป็นทางการจาก SoftBank แล้ว

 

ในเดือนตุลาคม 2022 บริษัทได้ลงนามในคำมั่นว่าจะไม่สนับสนุนการสร้างหุ่นยนต์ให้เป็นอาวุธใดๆ Boston Dynamics เสนอให้บริษัทหุ่นยนต์อื่นๆ เข้าร่วมคำมั่นสัญญา โดยมีบริษัทอื่นอีก 5 แห่งลงนามด้วยเช่นกัน

 

และล่าสุด ในวันที่ 17 เมษายน ปี 2567 Boston Dynamics ได้ประกาศที่จะเปลี่ยนเทคโนโลยีครั้งใหญ่ในหุ่นยนต์ Atlas ที่เป็นหุ้นยนตฺที่สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทฯ จาก ไฮดรอลิก และแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบแทน โดย Atlas เวอร์ชันไฟฟ้าใหม่แสดงถึงการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในโลกหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ด้วยระดับประสิทธิภาพที่เหนือกว่าระบบไฮดรอลิกรุ่นก่อนอย่างมาก ว่ากันว่ามีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าและระยะการเคลื่อนไหวที่กว้างกว่ามาก ทำให้สามารถรับมือกับงานที่ซับซ้อนมากขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น มีเทคโนโลยีมือจับแบบใหม่ที่จะช่วยให้จัดการกับวัตถุที่หนักกว่าและมีรูปร่างไม่ปกติมากกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบริษัทในการเพิ่มความอเนกประสงค์ของการออกแบบหุ่นยนต์

 

การประกาศอาจดูผิดปกติ เนื่องจากความแตกต่างระหว่างมอเตอร์ไฮดรอลิกและอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสำคัญ หุ่นยนต์ไฮดรอลิกใช้ชุดลูกสูบและของเหลวเพื่อควบคุมแขนขาของหุ่นยนต์ ในขณะที่รุ่นไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อเคลื่อนที่และหมุนชิ้นส่วนของหุ่นยนต์โดยตรง ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนจากระบบไฮดรอลิกไปใช้ไฟฟ้า จึงมีผลกระทบอย่างมากในแง่ของต้นทุนการผลิต การออกแบบ และประสิทธิภาพ

 

โดย มอเตอร์ไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า เงียบกว่า และเบากว่ารุ่นไฮดรอลิก แต่มอเตอร์ไฟฟ้าอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่า และโดยทั่วไปจะไม่แข็งแรงเท่ากับระบบไฮดรอลิก

 

สำหรับ การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัทฯ โดยการใช้งานครั้งแรกสำหรับหุ่นยนต์ Atlas ใหม่จะอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ ซึ่งจะถูกนำไปใช้งานในโรงงานของ Hyundai Motor Co. ซึ่งเป็นเจ้าของ Boston Dynamics

 

บริษัทฯ กล่าวในบล็อกโพสต์ว่า Hyundai เป็นสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับ Atlas ใหม่ เพื่อแสดงความสามารถ โดยตั้งข้อสังเกตว่า Hyundai กำลัง “สร้างขีดความสามารถด้านการผลิตยานยนต์รุ่นต่อไป” ซึ่งทำให้เป็น “พื้นที่ทดสอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับการใช้งาน Atlas ใหม่”

Atlas เวอร์ชันไฟฟ้า

 

ที่มา : https://techstory.in/the-boston-dynamics-story/

https://siliconangle.com/2024/04/17/boston-dynamics-revamps-humanoid-robot-atlas-electric-motors/