Business

สตาร์ทอัพไทยต่อยอดงานวิจัย วช.

ผลิตพลาสติกชีวภาพคุณภาพสูง ย่อยสลายเร็ว

 

ในอดีตที่ผ่านมา มีงานวิจัยเป็นจำนวนมากไม่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ได้ แต่จากนโยบายของรัฐบาลที่ได้เร่งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างนักวิจัยกับภาคเอกชน เพื่อนำผลงานวิจัยนวัตกรรมมาผลิตเป็นสินค้า โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ก็ได้เดินหน้าตามแนวทางนี้ ซึ่งได้นำร่องมุ่งเน้นในด้านการขับเคลื่อนผลงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจ คือ การนำงานวิจัยพลาสติกชีวภาพไปสู้สินค้านวัตกรรมที่มีศักยภาพ

 

โดย นายมนตรี อุดมฉวี Co-founder บริษัท สมาร์ทไบโอพลาสติก จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่เป็นนักวิจัยพลาสติกชีวภาพ และได้นำผลการวิจัยของ วช. มาต่อยอดผลิตสินค้า กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้นำผลการวิจัยมาพัฒนาปรับปรุงคุณสมบัติพลาสติกชีวภาพ โดยใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเข้ามาเป็นส่วนผสม เช่น ฟางข้าว ซึ่งได้นำร่องผลิตหลอดพลาสติกชีวภาพจากจากฟางข้าว ที่ใช้ส่วนผสมของฟางข้าวสูงถึง 80 – 90% โดยใช้ฟางข้าวจากการปลูกแบบอินทรีย์ที่ปราศจากสารเคมี นำมาผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง และนำมาผสมกับเม็ดพลาสติกชีวภาพในสัดส่วน 10 – 20%

 

สำหรับ หลอดพลาสติกชีวภาพจากฟางข้าว จะมีคุณสมบัติเหนือกว่าหลอดพลาสติกชีวภาพแบบอื่น ๆ คือ มีความทนทานต่อการใช้ไม่ต่างจากหลอดพลาสติกทั่วไป และสามารถย่อยสลายในหลุ่มฝังกลบตามธรรมชาติได้ 100% โดยไม่เกิดไมโคร พลาสติก ที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำหรือท้องทะเล รวมทั้งยังมีอัตราย่อยสลายได้เร็วใช้เวลาประมาณ 70 วัน ในสภาวะฝังกลบ เร็วกว่ามาตรฐาน ที่กำหนดไว้ที่ 180 วัน ในสภาวะฝังกลบ

 

นอกจากนี้ ยังเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการลดมลพิษฝุ่น พีเอ็ม 2.5 จากการเผาฟางช้าว และยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งแต่เดิมจะขายฟางข้าวได้ก้อนละ 20 บาท แต่บริษัทฯ ไปรับซื้อถึงราคา 100 – 200 บาทต่อก้อน ซึ่งหากหลอดพลาสติกชีวภาพจากฟางข้าวมีคนนิยมใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะช่วยลดมลพิษจากฝุ่น พีเอ็ม 2.5 ได้มากขึ้น

 

ทั้งนี้ ยังได้วิจัยพัฒนานำไปผลิตพลาสติกชีวภาพในด้านอื่น ๆ เช่น พลาสติกเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะถุงปลูกเห็ดที่ทำให้เกิดขยะพลาสติกทิ้งในพื้นที่การเกษตรสูงมาก ซึ่งถูกปลูกเห็ดของบริษัทฯ นอกจากจะย่อยสลายได้แล้ว แต่ยังสามารถเพิ่มผลผลิตเห็นให้สูงขึ้นด้วย โดยเห็ดที่ใช้ถุงพลาสติกชีวภาพของเราจะเริ่มออกดอกให้ผลผลิตเพียงว 28 วัน จากถุงแบบเดิมที่จะเริ่มให้ผลผลิตใน 40 วัน จึงทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตเร็วขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น และทำให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น

 

ส่วนในอนาคตมีแผนที่จะขยายไปผลิตบรรจุภัณฑ์ และช้อนส้อมแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจากพลาสติกชีวภาพ รวมทั้งวิจัยนำเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรอื่น ๆ มาเป็นวัตถุดิบ เนื่องจากเทคโนโลยีพลาสติกชีวภาพของเราสามารถนำไปผลิตพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งได้อยางหลากหลาย

 

สำหรับในด้านการแข่งขันกับพลาสติกทั่วไปนั้น ต้องยอมรับว่าพลาสติกชีวภาพจะมีราคาสูงกว่า โดยต้นทุนหลอดพลาสติกชีวภาพของเราจะมีราคา 0.4 – 0.5 สตางค์ต่อหลอด แพงกว่าหลอดจากพลาสติกทั่วไปที่มีราคา 0.1 – 0.2 สตางค์ต่อหลอด แต่เมื่อเทียบกับหลอดพลาสติกชีวภาพทั่วไปนั้นยังสามารถแข่งขันได้

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังออกกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้พลาสติกทั่วไปมีต้นทุนการกำจัดสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้มีราคาใกล้เคียงกับพลาสติกชีวภาพ ที่กำหนดให้โรงงานผู้ผลิตสินค้าจะต้องรับผิดชอบขยะพลาสติกที่เกิดขึ้น จึงทำให้ในอนาคตพลาสติกทั่วไปจะมีราคาสูงขึ้นจนทำให้พลาสติกชีวภาพแข่งขันได้มากขึ้น

 

ในส่วนของปัญหาหลัก ๆ ที่พบ จะเป็นเรื่องการยอมรับพลาสติกชีวภาพของเกษตรกร ที่ยังคงเชื่อถือแต่สินค้าแบบเดิม ขาดความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของคนไทย และมองในเรื่องของราคาเป็นหลัก ทำให้พลาสติกชีวภาพในด้านการเกษตรแข่งขันได้ยาก รวมทั้งปัญหาทุนวิจัยภาครัฐที่ขาดความต่อเนื่อง ทำให้มีหลายโครงการในอดีตที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การผิตสินค้าได้

 

สำหรับแนวทางการดำเนินกิจการต่อไป จะมุ่งไปสู่การจัดทำมาตรฐานพลาสติกชีวภาพ ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมีผลการวิจัยที่ชัดเจน และมีคุณภาพสูง แต่การที่จะทำให้ตลาดมั่นใจ จะต้องได้รับมาตรฐานที่เป็นสากล โดยในปีนี้บริษัทฯ จะเดินหน้าจัดทำมาตรฐานในทุกด้านของพลาสติกชีวภาพจากหน่วยงานรับรองมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มั่นใจในคุณภาพทั้งผู้ซื้อในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้สินค้าของเรามีแต้มต่อเพิ่มขึ้น และได้รับการยอมรับมากขึ้น

 

รวมทั้งยังได้ร่วมกับบริษัทพาทเนอร์ เข้ามาร่วมมือในการผลิต โดยบริษัทจะเข้าไปให้คำแนะนำอบ่างใกล้ชิด ซึ่งในขณะนี้บริษัทฯมีกำลังการผลิตประมาณ 100 กิโลกรัมต่อวัน และมีพาทเนอร์เข้ามาช่วยผลิตมีกำลังการผลิตประมาณ 30 ตันต่อวัน ทำให้มีกำลังขยายตลาดได้อีกมาก

มาเลเซีย รุกตั้งโรงงานกราไฟต์ในสหรัฐ

หวังลดพึ่งพาวัตถุดิบแบตฯอีวีจากจีน

 

บริษัท Graphjet Technology ของมาเลเซียกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 8 เม.ย. 2024 ว่า จะสร้างโรงงานผลิตกราไฟต์เทียมเชิงพาณิชย์ในรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังมองหาทางออกที่จะลดการพึ่งพาจีนสำหรับส่วนประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

 

ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกราไฟต์รายใหญ่ที่สุดของโลก ได้เข้มงวดการส่งออกวัสดุการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ อีวี เกือบทั้งหมด

 

โดย Graphjet ซึ่งถือสิทธิบัตรในการผลิตกราไฟต์และกราฟีนจากขยะทางการเกษตร กล่าวว่าโรงงานแห่งนี้สามารถผลิตกราไฟต์เกรดแบตเตอรี่ได้ 10,000 เมตริกตัน ซึ่งเพียงพอที่จะผลิตแบตเตอรี่ให้กับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 100,000 คันต่อปี

 

ทั้งนี้ Graphjet คาดว่าจะลงทุนระหว่าง 150 – 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่จะทดสอบการใช้งานโรงงานแห่งนี้และเริ่มการผลิตในปี 2569

 

“เรามุ่งเน้นไปที่การผลิตเชิงพาณิชย์ให้เร็วที่สุด และกำลังหารือกับผู้เล่นหลายรายเพื่อรักษาข้อตกลงการรับซื้อสินค้าจากโรงงานในเนวาดาที่เราวางแผนไว้” Aiden Lee ซีอีโอกล่าว

 

สำหรับ Graphjet Technology Sdn Bhd ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 มีเป้าหมายที่จะเป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำระดับโลกด้านวัสดุแอโนดที่ใช้กราฟีน และกราไฟท์ ในราคาประหยัดที่ยั่งยืน ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ได้รับสิทธิบัตรผู้บุกเบิกในการรีไซเคิลกะลาเมล็ดในปาล์มจากการผลิตน้ำมันปาล์ม เรามีความโดดเด่นในการสร้างกราฟีนชั้นเดียวและกราไฟท์เทียมคุณภาพสูงสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องใช้ในบ้าน

จีนเตรียมใช้ 5.5G

ในสายการผลิตอัจฉริยะ

 

สำนักข่าว CMG ของทางการจีนเผยว่า ในปี 2567 จีนจะเริ่มประยุกต์ใช้ 5.5G เชิงพาณิชย์ โดยมีความเร็วสูงและความหน่วงเวลาต่ำ 5.5G นั้นจะช่วยให้การควบคุมและตรวจสอบจากระยะไกลและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ในระหว่างการผลิตของอุตสาหกรรม มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น และช่วยผลักดันการพัฒนาการผลิตแบบอัจฉริยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก

 

ระบบ 5.5G นั้นจะช่วยให้ทุกขั้นตอนการผลิต ในห่วงโซ่อุปทานทำงานได้ดีขึ้น เพราะสามารถแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์และประสานงานกับส่วนต่างๆ ได้ โดยระบบห่วงโซ่อุปทานที่ทำงานได้เรียลไทม์นี้ จะช่วยให้วิสาหกิจต่างๆ สามารถปรับปรุงแก้ไขกระบวนการบริหารโกดังและโลจิสติกส์ ได้ทับท่วงทีอย่างมีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่นสูง และลดการสูญเสีย

 

นายสุ่ย ชาง นักวิจัยทางอุตสาหกรรม โทรคมนาคมของสถาบันวิจัย การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิกส์และอุตสาหกรรมสารสนเทศน์จีนกล่าวว่า ความเร็วสูงและความหน่วงเวลาต่ำของเครือ 5.5G นั้นจะช่วยให้การควบคุมและตรวจสอบจากระยะไกลและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในระหว่างการผลิตของอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น จนผลักดันการพัฒนาการผลิตแบบอัจฉริยะ

 

นอกจากนั้น 5.5G จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงกัน ระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า ผลักดันให้เกิดการบริการแบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ อีกทั้งการพัฒนาของเครือ 5.5G จะกระตุ้นให้อุตสาหกรรมต่างๆ มีโอกาสพัฒนาทางดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

GPSC ปั้นเยาวชนไทย

แข่งขันวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์โอลิมปิก

 

GPSC ส่งเสริมเยาวชนไทย ร่วมแข่งขัน “วิทยาศาสตร์นิวเคลียร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ” ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ระหว่าง 31 ก.ค. -7 ส.ค. 2567 ขยายองค์ความรู้ ก้าวทันเทคโนโลยี และนวัตกรรมพลังงาน วางรากฐาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

 

โดย นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC กล่าวว่า GPSC ได้เล็งเห็นความสำคัญในการศึกษาพลังงานทางเลือกชนิดต่างๆ นอกเหนือจากการศึกษาความเป็นไปได้ในเทคโนโลยีไฮโดรเจน และเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดำเนินการอยู่ เพื่อจะนำมาสู่การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน

 

โดยเฉพาะพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม GPSC จึงได้สนับสนุนการดำเนินโครงการ “การแข่งขันวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ” ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ครั้งที่ 1 ร่วมกับสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย (สนท.) โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 7 สิงหาคม 2567 ณ กรุงมะนิลา ประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลให้การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ สู่การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพลังงานอีกแนวทางหนึ่ง ทั้งนี้ กำหนดการประกาศรับสมัครเยาวชนเพื่อสอบคัดเลือกในเดือนมีนาคม 2567 จะประกาศบนเว็บไซด์ของสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย www.nst.or.th เร็วๆ นี้

 

“การสนับสนุนการแข่งขันทางวิชาการดังกล่าว เป็นหนึ่งในแนวทางของการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม GPSC ที่จะสร้างเสริมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานให้กับเยาวชนในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นประโยชน์กับประเทศ เนื่องจากปัจจุบันมีความหลากหลายของชนิดพลังงาน เป็นการสร้างโอกาสให้กับเยาวชนไทยในระดับมัธยมศึกษาได้เข้าร่วมแข่งขันทางวิชาการในเวทีระดับสากล เพื่อพัฒนาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ นับเป็นเวทีที่นำความรู้ทางวิชาการไปประยุกต์ใช้ เยาวชนไทยจะได้รับการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์กับเยาวชนนานาประเทศ เป็นการยกระดับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงานนิวเคลียร์ร่วมกัน ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน” นายวรวัฒน์กล่าว

 

ทั้งนี้ พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นหนึ่งในพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต เนื่องจากสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ ลดความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง และที่สำคัญคือไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกขณะเดินเครื่อง ฯลฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพลังงานที่คาดว่าจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ได้ตามเป้าหมายของหลายๆ ประเทศ และหลายๆ องค์กรชั้นนำ ที่กำลังให้ความสำคัญกันอยู่ในขณะนี้

 

ดังนั้น ต้องหาแนวทางเสริมสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านต่างๆ ให้เยาวชนตระหนัก และมีความเข้าใจในพลังงานดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการศึกษาความก้าวหน้าในเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านนิวเคลียร์ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการสร้างความเข้าใจเชิงบวกให้กับสังคมไทยในระยะยาว และเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนในการพัฒนาพลังงานแห่งอนาคต นำมาสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านพลังงานนิวเคลียร์ มีความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยี SMR (Small Module Reactor) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์โมดูลาร์ขนาดเล็ก ที่สามารถผลิตไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง ให้ความสำคัญและต่อยอดในมาตรฐานความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศรัสเซียได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว รวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับเทคโนโลยี SMR ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีพลังงานที่สำคัญต่อการลดภาวะโลกร้อน โดยล่าสุด สหภาพยุโรปเตรียมเปิดตัวพันธมิตรอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี SMR เดินหน้าความร่วมมือก่อสร้างทั่วทวีป เพื่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ในปี 2583 (ค.ศ. 2040)

BBGI ตั้งโรงงานผลิตเนื้อจากการเพาะเลี้ยงเซลล์แห่งแรกในอาเซียน

 

บริษัทจากอิสราเอล Aleph Farms ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cellular Agriculture) ได้ประกาศความร่วมมือกับ BBGI บริษัทผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ และ Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์

 

โดยทั้ง 3 บริษัท ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตเนื้อจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cultivated Meat) แหล่งโปรตีนใหม่แห่งโลกอนาคต โดยจะใช้ฐานผลิตที่โรงงานขนาดใหญ่แห่งแรกในไทย เพื่อยกระดับความยั่งยืน มั่นคงทางอาหาร และสวัสดิภาพของสัตว์

 

ด้าน นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) BBGI เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ Aleph Farms ร่วมกับ BBGI และ Fermbox Bio โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มกำลังผลิตเนื้อจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของแพลตฟอร์มการเพาะเลี้ยงเซลล์  ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ บีบีจีไอ ที่กำลังจะTransform ธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง  โดยมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โดยความร่วมมือเป็นพันธมิตรนี้แสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก

 

สำหรับ BBGI ได้เตรียมความพร้อมด้านโรงงาน โดยเมื่อช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมาได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ของโครงการก่อสร้างโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพ (Contract Development and Manufacturing Organization :CDMO) ด้วยถังหมักผลิตขนาดใหญ่ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยระยะแรกจะผลิตเอนไซม์ และขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ที่ล้ำสมัยที่สุด ซึ่งจะเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเชิงพาณิชย์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นายดิดิเยร์ ทูเบีย (Didier Toubia) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Aleph Farms กล่าวว่า บริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจทำการเพาะเลี้ยงเซลล์สำหรับเนื้อเพาะเลี้ยงนั้น จะมาจากการเพาะเซลล์ของสัตว์ และเพาะในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมโดยไม่ต้องพึ่งพาสภาพภูมิอากาศและไม่ต้องใช้พื้นที่ในการเลี้ยงสัตว์ ด้วยวิธีการค้นพบใหม่นี้ได้นำไปสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่ไม่กระจุกตัว รัดกุม คาดการณ์ได้ และสะดวกในการเข้าถึงผู้บริโภค

 

โดยความก้าวหน้านี้ได้สนับสนุนความมั่นคงทางอาหารอย่างยิ่งยวดด้วยการลดความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน และขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังมีความต้องการโปรตีนและไขมันที่มาจากสัตว์พุ่งขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ด้วยการเพิ่มความสามารถในการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงเพื่อช่วยเสริมความยั่งยืน ความร่วมมือนี้ได้ช่วยให้บรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีทางเลือกอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอย่างมั่นคง

 

นาย Subramani Ramachandrappa ผู้ก่อตั้ง Fermbox Bio กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ BBGI และ Aleph Farms นี้ สอดคล้องกับพันธกิจธุรกิจหลักของบริษัทในการที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เสริมความแข็งแกร่งให้กับความยั่งยืนของโลก และเอื้อต่ออนาคตในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ด้วยประสบการณ์ของบริษัทที่มีอย่างยาวนานในการออกแบบและปฏิบัติการโรงงานผลิตทางชีวภาพขนาดใหญ่ โดยบริษัทมีความพร้อมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ร่วมกันของความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเนื้อเพาะเลี้ยงขนาดใหญ่แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นางสาว Orna Sagiv เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าวว่า ฉันมั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างบริษัทสัญชาติอิสราเอลที่มีนวัตกรรมระบบนิเวศ FoodTech ที่ล้ำสมัย กับอุตสาหกรรมอาหารที่เติบโตเต็มที่ของไทย ซึ่งเป็น “ครัวของโลก” จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จสำหรับทั้งสองประเทศทั้งนี้ ที่สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้มีการส่งเสริมความร่วมมือ และฉันเชื่อว่าความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จระหว่าง Israel Aleph Farms และ Thai BBGI และ Fermbox จะส่งผลอย่างมาก ไม่เพียงแต่ต่ออนาคตของอุตสาหกรรมอาหารของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึง อนาคตความสัมพันธ์อิสราเอล-ไทย ด้วย